ดอกสัก

ชาติพันธุ์ล้านนา


ทั้งหมด 13 รายการ
 
 
รูปแบบและลักษณะของบ้านไทด่อน(ไทขาว)
รูปแบบและลักษณะของบ้านไทด่อน(ไทขาว)

รูปแบบและลักษณะของบ้านไทด่อน(ไทขาว)          ลักษณะเป็นเรือนไม้ยกพื้นสูงเช่นเดียวกันกับเรือนไทดำ แต่ไม่สามารถระบุส่วนต่างๆได้ชัดเจน เพราะรูปแบบเรือนมีหลากหลายมากกว่าไทดำมาก มีการประยุกต์และดัดแปลง ต่อเติมส่วนต่างๆของเรือนมากกว่า กล่าวคือการต่อเติมเรือนของไทดำจะขยายออกไปในแนวยาวอย่างเป็นแบบแผนตายตัว แต่บ้านไทด่อนมีการขยายเรือนออกไปทั้งด้านข้างและด้านหลังของตัวเรือน หากมองโดยรวมแล้วก็สามารถจำแนกออกมาได้เป็นระเบียงและตัวเรือน ในส่วนที่เป็นระเบียง จะมีขนาดเล็กและอยู่ตรงบันไดทางขึ้นหน้าเรือน ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมระหว่างตัวเรือนกับบันได ตัวเรือนเป็นโถงยาวและกว้าง คนไทด่อนไม่นิยมแบ่งห้องโดยใช้ผ้าม่านเหมือนไทดำที่แบ่งห้องอย่างชัดเจน แต่ใช้ไม้จริงหรือฝาไม้ไผ่กั้นห้องแทนหรือบางหลังก็ต่อเติมเรือนออกไปอีกส่วนให้เป็นเรือนนอน ส่วนที่เป็นชานไม่ค่อยพบมากนัก เนื่องจากถูกดัดแปลงกลายเป็นเรือนครัวที่แยกออกมาอย่างเป็นสัดส่วนแต่เตาไฟของไทดำและไทด่อนยังคงใช้ฟืนและถ่านเป็นเชื้อเพลิงเหมือนกัน จึงสร้างกระบะทรงสี่เหลี่ยมไว้รองรับภาชนะในการหุงต้ม   วิธีการปลูกเรือนของไทด่อนใช้ทั้งเทคนิคการเข้าเดือยและตอกตะปู ส่วนวัสดุที่ใช้ในการสร้างนั้นก็ไม่แตกต่างไปจากเรือนไทดำเลย เนื่องจากไม้ในเขตเวียดนามเป็นวัสดุที่หาได้ง่ายและมีมากพอในการสร้างเรือน ส่วนรูปทรงเรือนของไทด่อนนั้นมีมากมายหลายแบบและมีขนาดใหญ่ เพราะต่อเติมส่วนต่างๆ ของเรือนมาก จึงพอที่จะจำแนกได้ดังนี้ เรือนที่สร้างจากไม้ไผ่ เป็นเรือนที่พบเห็นได้ทั่วไปตามชนบท มีโครงสร้างเป็นไม้จริง แต่ส่วนประกอบอื่นๆ อาทิฝาเรือน พื้นเรือน บันได จะทำมาจากไม้ไผ่ เรือนแบบจั่วเดียว มีลักษณะเป็นเรือนขนาดกลางถึงใหญ่ แต่มีเพียงจั่วเดียว บางทีมีการขยายต่อเติมบ้านออกไปทางด้านข้างและด้านหลัง ใช้ไม้จริงเป็นส่วนประกอบเป็นส่วนมาก เรือนแบบสองจั่ว เป็นเรือนขนาดใหญ่ที่มีการต่อเติมเรือนจั่วเดียวอีกหลังหนึ่งให้อยู่ด้านข้าง ตรงกลางระหว่างชายหลังคาทั้งสองหลังมีรางรินไว้รองรับน้ำฝนไม่ให้เข้าตัวเรือน วัสดุส่วนใหญ่จะใช้ไม้จริงมากกว่าไม้ไผ่ ส่วนประกอบของเรือนไทด่อน บันได เรือนไทด่อนจะมีทั้งบันไดที่ไม่มีราวจับและมีราวจับเป็นลายไม้ฉลุประดับอยู่บันไดขึ้นเรือนมีทั้งหน้าเรือนและหลังเรือน บันไดหน้าเรือนเชื่อมกับระเบียง ส่วนบันไดหลังเรือนเชื่อมกับเรือนครัว หลังคา วัสดุที่ใช้ทำหลังคานั้นมีทั้งหญ้าคา กระเบื้องว่าว กระเบื้องลอน กระเบื้องดินเผา แต่สิ่งที่น่าสนในมากคือการใช้หญ้าคามุงหลังคาในปริมาณที่มาก โดยจะวางซ้อนทับกันจนเป็นแผ่นหนาหลายนิ้ว ซึ่งน่าจะให้ความอบอุ่นภายในตัวเรือนมากกว่าการมุงชั้นเดียว เสา ใช้ไม้ซุงทั้งท่อนสูงจากพื้นจนถึงชายหลังคาเช่นเดียวกันกับเรือนไทดำ แต่จะเริ่มมีการตกแต่งให้เป็นทรงเหลี่ยม การวางของเสาไม่ใช้วิธีการฝังแต่จะวางบนวัสดุที่รองรับจำพวก ก้อนหินขนาดใหญ่ ปูนซีเมนต์ที่หล่อเป็นฐาน เรือนบางหลังก็จะยึดไม้ให้ติดกับปูนที่เป็นฐานรองเลย คาน การวางคานของเรือนไทดำและไทขาวมีความคล้ายคลึงกัน กล่าวคือมีการใช้ไม้ซุงทั้งท่อนเป็นคานวางโครงสร้างภายในเรือนและใช้วิธีการทำลิ่มเข้าเดือยในการประกอบชิ้นส่วนต่างๆเข้าไว้ด้วยกัน ส่วนไม้ที่ใช้ยึดหลังคาก็จะเป็นไม้ไผ่ที่ใช้ทั้งปล้องในเรือนบางหลังของไทด่อนจะมีภาพเขียนเป็นลวดลายต่างๆบนคาน    ฝาเรือนและพื้นเรือน วัสดุที่ใช้ทำฝาเรือนนั้นจะมีหลากหลายมาก จำพวก ไม้จริงหรือไม้กระดาน ไม้ไผ่สานลายต่างๆและดินผสมกับฟางส่วนพื้นเรือนนั้นคนไทด่อนนิยมใช้ไม้ไผ่สับเป็นผืนแล้วนำมาวางเรียงกันเป็นผืน ระเบียง เรือนไทดำและไทด่อนแตกต่างกันเล็กน้อย ระเบียงของไทดำจะสร้างไว้ตลอดแนวยาวของเรือนส่วนระเบียงของไทด่อนเป็นระเบียงเล็กๆที่เชื่อมระหว่างบันไดกับด้านหน้าเรือน ซึ่งมีพื้นที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับระเบียงของชาวไทดำ  หน้าต่าง รูปแบบของหน้าต่างจะสูงในแนวตั้ง ประมาณ1.5-2เมตร จากชายคาถึงพื้นเรือน ซึ่งด้านในกั้นด้วยไม้ระเบียงความสูงประมาณ 50เซนติเมตร บานหน้าต่างจะเรียงติดกันหลายบาน เมื่อเปิดหน้าต่างออกในตอนกลางวันก็จะมีลักษณะคล้ายระเบียงทำให้ตัวบ้านเปิดโล่ง เมื่อเวลาปิดหน้าต่างในตอนกลางคืนก็จะเหมือนฝาเรือน       จะเห็นว่าเรือนของไทด่อนและไทดำนั้นมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ทั้งนี้เนื่องจากอาศัยอยู่ในคนละเมือง มีระยะทางที่ห่างไกลกันออกไป แล้วแต่รสนิยมหรือความชอบของแต่ละกลุ่มว่าจะออกแบบตกแต่งเรือนของตนให้เป็นอย่างไร ซึ่งแสดงออกจากการที่ไทด่อนมีรูปแบบเรือนที่หลากหลาย ทั้งในเรื่องของการตกแต่ง วัสดุที่ใช้และขนาดของเรือน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะกลุ่มไทด่อนมีการปรับตัวตามสมัยนิยมมากกว่ากลุ่มไทดำที่ยังมีความเชื่อเรื่องผีอย่างเคร่งครัดสังเกตจากเรือนของชาวไทดำทุกหลังต้องมีห้องผีตั้งอยู่ในห้องแรกของเรือน ก่อนที่จะเป็นห้องนอนของผู้อาวุโส แสดงให้เห็นถึงการเคารพผีอย่างสูงสุดมีความหมายในเชิงสัญญะว่าผีบรรพบุรุษเป็นใหญ่กว่าสิ่งอื่นใด ดังนั้นสมาชิกในครอบครัวทุกคนจึงควรเคารพและประพฤติตนตามจารีตแม้ว่าผู้ที่เป็นเจ้าของเรือนหรือผู้อาวุโสจะมีสิทธิและอำนาจอันชอบธรรมแต่ก็ต้องยอมรับอำนาจที่เป็นนามธรรมของผี การที่ชาวไทดำมีห้องผีไว้ในเรือนจึงหมายถึงการอยู่ร่วมกันของเชื้อสายเครือญาติเดียวกันแม้จะอยู่ในสถานะใดก็ตาม ดังนั้นผีในโลกทัศน์ของขาวไทดำจึงเปรียบเสมือนเสาหลักของตระกูล เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและสามารถปกปักรักษาสวัสดิภาพของลูกหลานได้      นอกจากห้องผีจะเป็นที่สิงสถิตของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ก็ยังเป็นที่เก็บ“ถุงไต้” หรือถุงใส่วันเดือนปีเกิดของผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น เสมือนกับการฝากให้ผีบรรพบุรุษเป็นผู้รักษาขวัญของลูกหลานให้ปลอดภัย  ดังนั้นความสำคัญของห้องผีในกลุ่มไทดำไม่ใช่เพียงแค่สถานที่กราบไหว้เพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษเท่านั้นแต่ยังหมายถึงใจกลางหรือขวัญซึ่งเป็นหัวใจหลักของเรือนด้วย จะเห็นได้ว่ารูปแบบเรือนและการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มไทด่อนและไทดำในเวียดนามนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและความคิดเรื่องผีเป็นอย่างมาก เพราะกลุ่มไทนี้ยังไม่มีแนวคิดความเชื่อด้านศาสนาจากภายนอกเข้ามาปะปนมากนักแตกต่างจากคนไทกลุ่มอื่นๆที่นับถือพุทธศาสนาอย่างไรก็ตามวัฒนธรรมร่วมของคนไททุกกลุ่มที่เหมือนกันไม่ว่าจะอยู่ในดินแดนหรือเขตประเทศใดๆ ก็จะนิยมสร้างเรือนไม้ยกพื้นสูง รวมถึงการตั้งถิ่นฐานที่อยู่ริมแม่น้ำและภูเขา ที่ถือว่าเป็นชัยภูมิที่ดี ในปัจจุบันกลุ่มไทในเวียดนามถูกแบ่งออกเป็น 12 หัวเมืองตามเขตจังหวัดต่างๆ ซึ่งบางเมืองก็ถูกเรียกตามภาษาเวียดนาม แต่กลุ่มไทเหล่านี้ยังไม่ค่อยเปิดรับวัฒนธรรมของคนภายนอกเพราะการนับถือผียังมีความมั่นคงมาก    [1]สรุปผลงานวิจัยโครงการส่งเสริมกลุ่มวิจัยสกว.โครงการภูมิปัญญาพัฒนาการและความสัมพันธ์ระหว่างกันของเรือนพื้นภิ่นไทย-ไท:คุณลักษณะของสถาปัตยกรรมสิ่งแวดล้อมในเรือนพื้นถิ่น.หน้า13-14. [2]สรุปผลงานวิจัยโครงการส่งเสริมกลุ่มวิจัยสกว.โครงการภูมิปัญญาพัฒนาการและความสัมพันธ์ระหว่างกันของเรือนพื้นภิ่นไทย-ไท:คุณลักษณะของสถาปัตยกรรมสิ่งแวดล้อมในเรือนพื้นถิ่น.หน้า12-13.   เรื่องเเละภาพประกอบโดย:นางสาวฐาปนีย์เครือระยาสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 
เผยแพร่เมื่อ 5 มกราคม 2565 • การดู 2,334 ครั้ง
รูปแบบและลักษณะบ้านของไทดำ
รูปแบบและลักษณะบ้านของไทดำ

  รูปแบบและลักษณะบ้านของไทดำ จะเป็นเรือนไม้ยกพื้นสูง   มีบันไดขึ้นสองทาง คือด้านหน้าเรือนและด้านหลังของเรือน วัสดุที่ใช้สร้างจากไม้จริงและไม้ไผ่ผสมกัน มีส่วนประกอบอยู่ 3 ส่วนที่ชัดเจน คือเฉลียง หรือ“กว้าน”อยู่ทางด้านหัวเรือน ส่วนกลางเรือนจะเป็นที่อยู่หลับนอน มีการกั้นผนังด้วยไม้อย่างแน่นหนาและส่วนท้ายเรือนจะเป็นชาน ภายในตัวเรือนเป็นที่โล่งตามแนวยาว จำนวนของห้องเสาจะเป็นเลขคี่ตามความเชื่อที่เป็นมงคล[1] มีการแบ่งส่วนของห้องนอนไว้ตามช่วงเสาในแนวยาวด้วย การแบ่งห้องนอนจะกั้นตามช่วงเสาซึ่งจะทราบจำนวนสมาชิกที่อาศัยอยู่ตามห้องที่กั้นด้วยผ้าม่าน ห้องแรกของบ้านจะเป็นห้องของผีประจำตระกูล ส่วนห้องนอนของผู้อาวุโสหรือพ่อแม่จะอยู่ถัดมา จากนั้นก็จะเป็นห้องของลูกคนโตไล่มาจนถึงลูกคนเล็ก  ในอดีตชาวไทดำนิยมทำเรือนแบบหลังคาโค้งทรงกระดองเต่า ซึ่งมีขนาดเล็กและเป็นแบบดั้งเดิมที่มีการใช้ไม้ไผ่เป็นโครงสร้างส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยแข็งแรง ส่วนเรือนแบบหลังคาตรง เป็นรูปทรงของเรือนในสมัยนี้ใช้ไม้จริงเป็นโครงสร้างผสมกับไม้ไผ่ที่ใช้เป็นส่วนประกอบอื่นๆ เช่น ฝาเรือน ระเบียง เป็นต้น   การแบ่งห้องนอนของชาวไทดำ ส่วนประกอบของเรือนไทดำ บันได เรือนไทดำจะมีทางขึ้นเรือนทั้งด้านหน้าและด้านหลังเรือนหากในสังคมที่เคร่งครัดผู้หญิงจะสามารถใช้ได้เพียงบันไดทางหลังเรือนเท่านั้น ส่วนใหญ่บันไดของเรือนที่อยู่ในชนบทจะไม่มีราวบันได แต่บันไดของเรือนที่อยู่ในเมืองจะเพิ่มความปลอดภัยและความสวยงาม ในการตกแต่งราวบันไดด้วยการฉลุไม้อย่างง่ายๆ หลังคา วัสดุที่ใช้ทำหลังคาจะเป็นหญ้าคา กระเบื้องทรงเหลี่ยมหรือกระเบื้องว่าวและกระเบื้องลอน บางทีก็จะพบกระเบื้องที่ทำมาจากหินชนวนซึ่งวัสดุเหล่านี้จะประยุกต์ใช้ตามสิ่งแวดล้อมและความนิยมของแต่ละเมือง ในเขตชนบทจะนิยมใช้หญ้าคามุงหลังคา ส่วนเขตเมืองก็จะใช้กระเบื้องแทน เหนือจั่วเรือนด้านหน้าเรือนจะมี “เขากุด” ประดับอยู่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเขาควาย ทำจากไม้เป็นรูปแบบที่ต่างกันไปตามความต้องการของเจ้าของเรือนและช่างซึ่งสัมพันธ์กับสถานะทางสังคมของเจ้าของเรือน[2] ปัจจุบันจะทำมาจากไม้สองชิ้นวางไขว้กันแล้วแกะลวดลาย   รูปแบบของเขากุดที่ทำมาจากไม้แกะเป็นลวดลายต่างๆ เสา  ทำมาจากไม้จริงทั้งท่อน เนื่องจากมีความแข็งแรงทนทานสูงกว่าไม้ไผ่ รูปทรงของเสาเป็นทรงกระบอก มีความยาวตั้งแต่พื้นจนถึงชายหลังคา ลักษณะการตั้งเสาจะไม่ใช้วิธีการฝังแต่จะวางบนก้อนหินขนาดใหญ่โดยไม่มีการยึด ปัจจุบันมีการปรับมาใช้ฐานรองที่ทำได้สะดวกโดยการหล่อเทปูนซีเมนต์ให้สูงขึ้นมาในระดับหนึ่ง แล้วจึงนำเสาวางไว้บนฐานซีเมนต์นั้น คาน โครงสร้างของคานใช้ไม้จริงเช่นเดียวกับเสา ซึ่งมีทั้งการใช้ไม้ทรงกลมทั้งท่อนและแบบปรับแต่งไม่ให้เป็นทรงสี่เหลี่ยม วิธีการประกอบชิ้นส่วนต่างๆ นั้นจะใช้ลิ่มและเดือย โดยช่างจะใช้สิ่วในการเจาะรูไม้และทำสลักเพื่อประกอบไม้เข้าด้วยกัน วิธีการนี้จะทำให้โครงสร้างของเรือนแข็งแรง   ในส่วนของโครงสร้างหลังคาจะใช้ไม้ไผ่ในการยึดกระเบื้องและหญ้าคาเพราะเป็นวัสดุที่มีขนาดเล็กและเบา ช่วยลดน้ำหนักของหลังคาได   โครงสร้างของเสาและคานของเรือน เมื่อมองจากภายในเรือน ฝาเรือนและพื้น  เรือนแต่ละหลังจะมีการผสมผสานของวัสดุในการทำฝาเรือนหลากหลายชนิด วัสดุที่นิยมใช้มี3 ชนิดคือ ไม้กระดาน ไม้ไผ่สานและฝาที่ทำมาจากดินผสมกับฟางซึ่งมีลักษณะคล้ายปูนนิยมใช้มากในส่วนที่เป็นครัว ไม้ที่ใช้ทำพื้นเรือนจะเป็นไม้จริงที่แต่งทรงให้เป็นแผ่น บางหลังก็ใช้ไม้ไผ่ทั้งปล้องแล้วสับไม้ให้เป็นผืน   เรือนครัว เดิมทีชาวไทดำไม่มีเรือนครัวแยกออกมาอย่างเป็นสัดส่วนเหมือนปัจจุบันที่สร้างเรือนครัวแทนชาน เพราะเตาหรือจี่ไฟในภาษาไทดำนั้นจะอยู่ภายในตัวเรือน โดยเตามีลักษณะเป็นกระบะทรงสี่เหลี่ยม มีก้อนหินวางอยู่ ใช้ฟืนและถ่านเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งเตาแบบนี้เหมือนกับที่คนไทยใช้กันในสมัยก่อน เหนือเตาขึ้นไปจะมีไม้ไผ่สานเป็นแผงห้อยอยู่ เพื่อเก็บข้าวของเครื่องใช้และวัตถุดิบเครื่องปรุงที่ใช้ประกอบอาหาร       เรื่องเเละภาพประกอบโดย:นางสาวฐาปนีย์เครือระยาสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่   
เผยแพร่เมื่อ 5 มกราคม 2565 • การดู 3,463 ครั้ง
ถิ่นฐานไทในเวียดนาม (ไทขาว ไทดำ ไทเเดง)
ถิ่นฐานไทในเวียดนาม (ไทขาว ไทดำ ไทเเดง)

ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม เป็นแหล่งที่ตั้งอาศัยของคนไทหลายกลุ่มด้วยกันไม่ว่าจะเป็นไทขาวไทดำไทแดง รวมถึงกลุ่มชนเผ่าต่างๆ ที่มีการแสดงออกทางเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีรูปธรรมที่เห็นได้ชัดเจนจากการแต่งกายประเพณีและที่อยู่อาศัย เป็นต้น ในด้านสถาปัตยกรรม บ้านเรือนที่อยู่อาศัยนั้น เป็นการแสดงออกถึงการดำรงชีวิตอีกด้านหนึ่ง เนื่องจากที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต เรือนของกลุ่มคนต่างๆจึงสะท้อนถึงตัวตนของชาติพันธุ์นั้นๆ ออกมาอย่างชัดเจน โดยมีปัจจัยทางด้านวิธีคิดและความเชื่อประกอบกับสภาพภูมิศาสตร์ เป็นตัวกำหนดกฎเกณฑ์ในการตั้งถิ่นฐาน          กลุ่มชนชาวไทในเวียดนามมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย อาศัยอยู่ตามที่ราบลุ่มแม่น้ำระหว่างหุบเขา เลี้ยงชีพด้วยการทำการเกษตรกรรมและมีความเชื่อที่แฝงเกี่ยวกับธรรมชาติ ในรูปแบบของผี ซึ่งมีทั้งผีที่เป็นรูปแบบของเทพ คือ ผีแถนและผีที่คุ้มครองบ้านเรือนและคนในครอบครัว คือผีบรรพบุรุษ ถึงแม้ว่าไทดำและไทด่อน(ไทขาว)เป็นกลุ่มชนชาติเดียวกันแต่ลักษณะของแต่ละกลุ่มนั้นก็มีสิ่งที่สะท้อนถึงความเป็นตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์  การตั้งถิ่นฐานและวิถีชีวิตของกลุ่มชาวไทดำและไทด่อน(ไทขาว)      ในดินแดนสิบสองจุไท อันเป็นถิ่นที่อยู่ของชนชาติไทดำและไทด่อนมาแต่อดีตเป็นพื้นที่ราบลุ่มกว้างใหญ่ระหว่างหุบเขา ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเวียดนามเป็นเทือกเขาสูงทอดยาวลงมาจากทางตอนใต้ของจีน เทือกเขาที่สำคัญคือ ภูแดนดิน ภูสามเส้า สลับกับที่ราบลุ่มแม่น้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ ส่วนสภาพอากาศจะชุ่มชื้นจนถึงแห้งแล้ง เนื่องจากอยู่ใกล้กับเขตร้อนชื้นแถบศูนย์สูตร ในเขตป่าทึบและที่ภูเขาสูงจะมีสัตว์ป่าพืชพันธุ์ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ จึงทำให้ประชาชนนิยมเลี้ยงชีพด้วยการเก็บของป่าและทำการเกษตร   จากสภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ การดำรงชีวิตของกลุ่มไทจึงมีความเรียบง่าย สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมเป็นอย่างดี ทั้งยังมีการเพาะปลูกเลี้ยงชีพอย่างพอเพียง โดยแต่ละบ้านจะมีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง เพื่อปลูกพืชเลี้ยงสัตว์พอกินพออยู่ภายในครัวเรือน ส่วนพื้นที่สาธารณะ เช่นหนองน้ำ แม่น้ำ บริเวณป่า ก็จะเป็นที่ของชุมชนในการหาปลาและของป่าได้ร่วมกันในสังคม  ดังนั้นความเป็นอยู่ภายในแต่ละหมู่บ้าน จึงมีความสัมพันธ์กับอย่างแนบแน่น  การสร้างเมืองของกลุ่มไทในเวียดนาม          ตามความเห็นของนักวิชาการส่วนใหญ่หลายๆท่านต่างก็ให้เหตุผลที่ต่างกันว่าแหล่งที่คนไทอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นที่อยู่แต่เดิมหรือมีการโยกย้ายถิ่นฐาน เนื่องจากมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับต้นกำเนิดของกลุ่มไทที่เป็นตำนานของพญาแถน น้ำเต้าปุง และตำนานเมืองแถน อันเป็นต้นกำเนิดของเมืองในกลุ่มไท โดยมีความคล้ายคลึงกับตำนานเรื่องเล่าคล้ายกับเผ่าไทอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในจีนหรือลาว ซึ่งการกำเนิดของกลุ่มไทเรื่องการตั้งที่อยู่แต่เดิมนั้นยังเป็นปัญหาที่นักวิชาการยังให้ข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ จึงมีอยู่หลายทฤษฏี เช่น ในตำนานน้ำเต้าปุงก็จะเชื่อมโยงการเกิดขึ้นของคนกลุ่มข่าแจะ ไทดำ ลาว ฮ่อ และสุดท้ายคือแกว(ญวน)ว่าเกิดมาจากน้ำเต้าลูกเดียวกัน จึงเสมือนเป็นพี่น้องกัน จากตำนานและเรื่องเล่านี้มีการนำเอากลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในแถบนั้นมาร้อยเรียงให้เกิดการเชื่อมโยงกันระหว่างเชื้อชาติ  ในอดีตหัวเมืองต่างๆ ของไทดำที่มีเจ้าเมืองคนไทปกครองอยู่นั้น มีจำนวนทั้งหมด 16เมือง  แต่ในช่วงที่ประเทศฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนามและได้มีแบ่งดินแดนกับจีนเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้ยกเมืองให้จีนไป 6เมือง จึงเหลือเพียง 10เมือง ภายหลัง ฝรั่งเศสได้ยกระดับหัวเมืองย่อยขึ้นมาเป็นเมืองหลักอีก 2 เมือง จึงรวมเป็น 12 เมือง และเรียกว่า สิบสองจุไท[1] ซึ่งเป็นเมืองที่มีกลุ่มไทด่อน อาศัยอยู่ 4 เมืองและไทดำอาศัยอยู่ 8 เมืองดังนี้[2]   เมืองแถง หรือเมืองแถน (DiênBiênPhư) เมืองควาย(TuầnGiáo) เมืองลอ (NghiaLô) เมืองม่วย(Thuầnchâu) เมืองลา(SơnLa) เมืองม่วก หรือเมืองมัวะ หรือเมืองโมะ (Maisơn) เมืองวาด หรือเมืองหวัด(Yênchâu) เมืองถาน(ThầnUyên)      เมืองไล (LaiChâu)เป็นเมืองศูนย์กลางของกลุ่มไทขาว เมืองสอ(PhongThố) เมืองเติ๊ก (PhuYên) เมืองสาง(Mộcchâu) จำนวนเมืองทั้งหมดของกลุ่มไทที่กล่าวในข้างต้นนั้น เมืองไล เมืองสอเมืองเติ๊ก และ เมืองสาง เป็นเมืองที่ไทด่อนอยู่อาศัย โดยมีเมืองไลเป็นศูนย์กลาง ส่วนเมืองศูนย์กลางของกลุ่มไทดำคือเมืองแถน ในอดีตคนไทมีการแบ่งกลุ่มของตัวเองตามชื่อเมืองที่อาศัยอยู่เช่น ไทเมืองลอ ไทเมืองสาง เป็นต้น ภายหลังเมื่อชาวตะวันตกเข้ามา มีการใช้สีของชุดที่สวมใส่ และลักษณะทางกายภาพอื่นเป็นตัวแบ่งประเภทของคนไทตามโลกทัศน์ชาวตะวันตก ทำให้เกิดความเข้าใจที่ไม่ตรงกันของกลุ่มคนไทในพื้นที่รวมถึงคนภายนอกที่เข้าไปศึกษาวิถีชีวิตของกลุ่มคนไทในช่วงแรกๆ    [1]คำจอง. 2537.ประวัติศาสตร์และเอกสารไทดำในเวียดนาม.เอกสารประกอบการสัมมนาวิชาการ.หน้า2-3. [2]ประวัติศาสตร์สิบสองจุไท.ภัททิยา ยิมเรวัต.2544.หน้า15.     สภาพภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อมในการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มไท  ไทดำและไทด่อนเป็นกลุ่มคนไทที่นิยมตั้งถิ่นฐานในแถบที่ราบลุ่มหุบเขา เลียบลำน้ำตลอดสองข้าง ซึ่งแม่น้ำที่สำคัญคือแม่น้ำดำหรือ “น้ำแต” ตามภาษาไท หรือ “ซงดา” ในภาษาเวียดนาม โดยทั่วไปแล้วไทดำและไทด่อนจะมีวิถีชีวิตที่คล้ายคลึงกัน แต่จะต่างกันบ้างที่ความเชื่อเรื่องการนับถือผี ภาษาและการแต่งกาย เช่น ไทดำจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่กลุ่มไทด่อนไม่มีคือการใช้ “ผ้าเปียว” ซึ่งเป็นผ้าคลุมศีรษะสำหรับสตรีที่แต่งงานแล้ว เป็นต้น  การสร้างบ้านเรือนและแหล่งที่อยู่อาศัยของไทดำและไทด่อนนั้นจะมีลักษณะพิเศษของกลุ่มคนไทที่เห็นได้ชัดว่าแตกต่างกันกับชนชาติอื่นๆคือ          1.ลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์  มีทำเลเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำไหลผ่าน ดังนั้นหมู่บ้านจะอยู่ระหว่างกลางของภูเขาสูงขนาบทั้งสองด้าน ซึ่งจะไม่พบกลุ่มไทสร้างบ้านอยู่ตามสันเขาหรือที่สูงเลย          2. การตั้งบ้านเรือนจะกระจุกตัวอยู่ในบริเวณเดียวกันบนที่ราบเชิงเขา หรือเป็นที่ดอน ส่วนที่ทำการเกษตรจะอยู่บริเวณริมแม่น้ำ ซึ่งเป็นที่ต่ำลงมา โดยที่ดินในการทำการเกษตรจะแยกออกมาคนละส่วนไม่ปะปนกับพื้นที่สร้างบ้านเรือนในหมู่บ้าน เมื่อชาวบ้านออกไปทำนาก็จะเดินทางออกจากบ้านเรือนของตนไปยังที่นาซึ่งจะอยู่ใกล้กัน       3.ถัดจากบริเวณหมู่บ้านขึ้นไปทางเนินเขาก็จะเป็นที่ป่า ตามความคิดของคนไทดำเชื่อว่า ป่าคือที่อยู่ของผีซึ่งเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นบริเวณนี้จึงเป็น “ป่าแฮ่ว” หรือป่าช้าที่ใช้ในพิธีกรรมฝังคนตาย โดยมีการถวายหรือทำบุญให้ศพด้วยการสร้างบ้านหลังเล็กๆไว้ครอบหลุมศพ หรือเรียกว่า “เฮือนแฮ่ว”      4.กลุ่มคนไท มีความสามารถในการจัดสรรน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรได้เป็นอย่างดี เนื่องจากพื้นที่ทำการเกษตรอยู่บนพื้นราบ ไม่สามารถสร้างทางกั้นน้ำได้สะดวกนัก จึงใช้วิธีการทำกังหันวิดน้ำ หรือ“หลุก” ในการปันน้ำเข้าสู่ที่นา ระบบการจัดการน้ำนี้เรียกว่า    “เหมือง ฝาย หลาย ริน”[1] มาจาก -      เหมือง คือ คลองส่งน้ำ -      ฝาย เป็นเขื่อนกั้นน้ำและกักเก็บน้ำ -       หลาย คือคันดินหรืออาจจะเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ที่ใช้กั้นเพื่อลัดน้ำ -       ริน คือท่อส่งน้ำไปยังแปลงนา รินในระยะแรกน่าจะเป็นไม้ไผ่    [1]ประวัติศาสตร์สิบสองจุไท.ภัททิยา ยิมเรวัต.2544.หน้า 51.      เรื่องเเละภาพประกอบโดย:นางสาวฐาปนีย์เครือระยา
เผยแพร่เมื่อ 5 มกราคม 2565 • การดู 7,242 ครั้ง
ปอยออกหว่า (ปอยเหลินสิบเอ็ด) ออกพรรษาของไทใหญ่
ปอยออกหว่า (ปอยเหลินสิบเอ็ด) ออกพรรษาของไทใหญ่

ชื่อนี้เป็นภาษาไทใหญ่ซึ่งหมายถึงการฉลองในเดือน11คือวันออกพรรษาเป็นการเฉลิมฉลองด้วยความปรีดาที่พระพุทธเจ้ากลับลงมายังโลกหลังจากที่ไปแสดงธรรมโปรดพุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ตลอดระยะเวลาเข้าพรรษาซึ่งนานถึง3เดือน          พบว่าที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีงานนี้ตั้งแต่ขึ้น13ค่ำเดือน11ถึงแรม15ค่ำเดือนเดียวกันโดยชาวบ้านจะเริ่มการจับจ่ายซื้อของและจัดเตรียมเครื่องไทยทานตั้งแต่ขึ้น13ค่ำเพื่อไปถวายทานในวันขึ้น15ค่ำโดยเฉพาะจะมี“เข้าหนมจ็อก”คือขนมอย่างขนมเทียนอาหารที่นิยมทำกันก็คือแกงฮังเลและเนื้อลุง(เนื้อสับละเอียดผสมเครื่องแกงทำเป็นก้อนกลมคล้ายลูกชิ้นแล้วนำไปทอด)ขนมนี้นอกจากจะนำไปถวายพระแล้วยังแจกกันกินตามหมู่ญาติมิตรและใกล้บ้านเรือนเคียง          วันที่สนุกสนานที่สุดก็คือตอนเย็นของวันขึ้น13ค่ำจะมีการจัดตลาดนัดซึ่งของส่วนใหญ่คือของที่จะนำไปถวายพระตลาดนี้จะดำเนินต่อไปทั้งคืนจนรุ่งเช้าแล้วต่อเนื่องไปถึงเย็นของวันขึ้น14ค่ำอีกด้วยนอกจากจัดอาหารและขนมไปวัดแล้วบางบ้านอาจจะทำประทีปโคมไฟและจองพาราหรือพุทธบัลลังก์อีกด้วย          ในวันขึ้น15ค่ำนั้นชาวบ้านจะตื่นแต่เช้าแล้วเตรียมต่างซอมต่อคือถวายข้าวมธุปายาสแก่พระพุทธรูปและแม่ธรณีเจ้าที่แล้วจึงไปวัดเมื่อเสร็จพิธีกรรมแล้วผู้เฒ่าบางท่านอาจนอนค้างที่วัดเพื่อบำเพ็ญกุศลกรรมจำศีลภาวนาอีกคืนหนึ่งในเย็นวันขึ้น15ค่ำนี้ชาวบ้านจะจุดเทียนประดับที่จองพาราและจุดเทียนสว่างที่หน้าบ้านหรือตามแนวรั้วบ้างก็ใช้ไม้สนมัดรวมกันแล้วจุดไฟตั้งไว้ที่หน้าบ้านซึ่งการจุดไม้สนนี้จะจุดไม่นานนักก็จะดับไฟเพื่อใช้จุดในวันต่อๆไปอีกตั้งแต่คืนวันขึ้น15ค่ำเป็นต้นไปพอตกกลางคืนประชาชนนิยมไปจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปและเจดีย์ตามวัดจากนั้นจึงจะพากันไปจุดเทียนบูชาผีเจ้าบ้านเจ้าเมือง          นอกจากจะมีการจุดเทียนบูชาดังกล่าวแล้วในบางคืนอาจมีการฟ้อนรูปสัตว์ต่างๆเช่นฟ้อนนกปลาโตผีเสื้อหรือสัตว์อื่นๆเพื่อแสดงการที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับลงมายังโลกนั้นนอกจากมนุษย์และเทวดาแล้วส่ำสัตว์ทั้งหลายก็พากันดีใจออกมาฟ้อนรำรับเสด็จด้วยการฟ้อนนี้จะมีไปจนถึงคืนวันแรม14ค่ำ          ในคืนแรม14ค่ำนั้นจะมีการแห่ต้นแปกหรือต้นสนอันได้จากการนำไม้สนมาจักแล้วมัดรวมกันทำเป็นต้นไม้เมื่อแห่ไปถึงวัดแล้วก็จะมีพิธีจุดไฟที่ต้นไม้ดังกล่าวและปล่อยให้ไหม้จนหมดการจุดไฟให้ไหม้หมดนี้เรียกว่ามอดไฟเทียนซึ่งถือว่าเสร็จสิ้นปอยเหลินสิบเอ็ด              ประเพณีแห่จองพาราคือประเพณีบูชาปราสาทพระของคนไตหรือชาวไทยใหญ่เป็นประเพณีที่มีความสำคัญสำหรับชาวแม่ฮ่องสอนอีกหนึ่งอย่างซึ่งประเพณีปอยเหลินสิบเอ็ดจะจัดขึ้นในเดือน11ระหว่างขึ้น13-14ค่ำประชาชนจะซื้ออาหารและสิ่งของต่างๆสำหรับไปทำบุญที่วัดในวันขึ้น15ค่ำเมื่อถึงรุ่งเช้ามืดของวันขึ้น15ค่ำซึ่งตรงกับวันออกพรรษาจะมีการตักบาตรเทโวโรหตอนกลางคืนตามบ้านเรือนและวัดต่างๆจะมีการจุดประทีปโคมไฟสว่างไสวมีการแห่“จองพารา”หรือ“ปราสาทรับเสด็จพระพุทธเจ้า”ซึ่งตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงามมีการแสดงการละเล่นพื้นเมืองและมหรสพต่างๆ          ประเพณีนี้มีพื้นเพจากความเชื่อที่ว่าถ้าได้จัดทำจองพาราหรือปราสาทพระรับเสด็จพระพุทธเจ้าที่บ้านของตนเองแล้วครอบครัวจะอยู่เย็นเป็นสุขได้บุญกุศลส่งผลไปถึงการประกอบอาชีพและจะได้รับผลสำเร็จตลอดทั้งปี          จองพาราจะมีส่วนประกอบโครงที่ทำจากไม้ไผ่บุด้วยกระดาษสาตกแต่งด้วยกระดาษสีบุลายศิลปะชาวไตซึ่งมี2กลุ่มลายคือกลุ่มนอนเคอ(ลานเคลือเถา)ลักษณะลายที่เขียนเป็นเถาติดต่อกันประกอบด้วยก้านใบดอกและเถาเลื้อยเน้นความสวยงามของเส้นโค้งที่อ่อนช้อยอีกหนึ่งกลุ่มคือลาบใบหมากเก๋ง(ลายสัปะรด)ลักษณะใบหมากเก๋งเป็นรูปลายประดิษฐ์ใบเรียวคล้ายกับรายกนกลายกะจงลาบกลีบบัว          ชาวบ้านจะนำอาหารที่ประกอบด้วยข้าวสวยขนมผลไม้ใส่ในกระทงใบตองวางไว้บนจองพาราจุดธูปเทียนกล่าวอัญเชิญพระพุทธเจ้าให้มาเสด็จประทับที่จองพาราเพื่อเป็นสิริมงคลและจะตั้งไปจนครบ7วันเมื่อสิ้นสุดการบูชาก็จะนำจองพาราไปทิ้งหรือเผาบ้างก็เอาไว้นอกชายคาบ้านนอกรั้วไม่นิยมเก็บไว้ในบ้านเมื่อถึงปีถัดไปก็จะทำใหม่อีกครั้ง          สำหรับชาวไทยใหญ่นั้นประเพณีจองพาราเปรียบเสมือนการทำบุญครั้งใหญ่เป็นส่วนสำคัญของประเพณีไทใหญ่ทั่จดทำกันในช่วงออกพรรษาโดยที่มีความศรัทธาและความเคารพในพุทธศาสนาเป็นตัวแกนหลักในการจัดและในปัจจุบันนี้จองพาราถือเป็นประเพณีที่นักท่องเที่ยววัฒนธรรมให้ความสนใจเป็นอย่างมากโดยจะเห็นได้จากการจัดประเพณีที่ยิ่งใหญ่ในอำเภอแม่ฮ่องสอนเองและด้วยความน่าสนใจของประเพณีนี้ในหลายพื้นที่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนจึงได้มีการเริ่มนำจองพารามาเป็นสื่อในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒธรรมเช่นกัน   ขอบคุณข้อมูลจาก:สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคเหนือ เล่ม7 ภาพโดย:นายต่อพงษ์เสมอใจสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมมช.
เผยแพร่เมื่อ 12 ตุลาคม 2564 • การดู 6,229 ครั้ง
วิถีผ้าทอไทยลื้อท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก
วิถีผ้าทอไทยลื้อท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก

      ปัจจุบันสังคมโลกเปลี่ยนแปลงไปทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม และกระแสโลกาภิวัตน์ วิถีชีวิตของมนุษย์จึงเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย อาทิเช่น การแต่งกาย อาหารการดำรงชีวิต จะสังเกตเห็นว่า ในสมัยโบราณการดำรงชีวิตของผู้คนจะมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย งดงาม ใช้ชีวิตโดยเคารพในธรรมชาติ ปรับตัวอยู่กับธรรมชาติได้อย่างมีความสุข ความสุขของคนสมัยนั้นสามารถหามาได้ง่ายๆกับชีวิตรอบตัว ชีวิตไม่จำเป็นต้องดิ้นรนตามความต้องการที่มีมากเกินความจำเป็นดังเช่นสมัยปัจจุบัน           วิถีชีวิตของคนชนบทในสมัยโบราณมักเกี่ยวข้องกับธรรมชาติและเกษตรกรรม ฤดูฝนจะมีการหว่านกล้าดำนาในช่วงเดือนเก้า(เหนือ)เดือนสิบ(เหนือ) หรือช่วงเข้าพรรษา ในระหว่างการปลูกดำนาก็จะมีการหาปูหาปลาเพื่อเลี้ยงชีพ พ่อบ้านที่ว่างจากการทำงานก็จะไปเป็นพรานล่าสัตว์ ส่วนแม่บ้านจะปลูกฝ้ายในเดือนแปด เดือนเก้า และเก็บเอายวงฝ้ายมาอีดและปั่นเป็นเส้นฝ้าย ซึ่งมีการนำศิลปะการแสดงมาร่วมกับการทำงานเพื่อให้การทำงานสนุกสนานไม่น่าเบื่อเกิดวรรณกรรมล้านนาขึ้นหลากหลายเรื่องราว อาทิเช่นจ๊อยจีบสาว ฟ้อนสาวไหม เพลงปั่นฝ้าย เป็นต้น   ทัศนีย์ กาตะโล ครูโรงเรียนสะเมิงพิทยาคมอำเภอสะเมิงจังหวัดเชียงใหม่
เผยแพร่เมื่อ 22 เมษายน 2563 • การดู 2,645 ครั้ง
ปรัชญาการรักษาโรคแบบตะวันออก- อัตลักษณ์ของอาเซียน
ปรัชญาการรักษาโรคแบบตะวันออก- อัตลักษณ์ของอาเซียน

     ประวัติศาสตร์ของแนวคิดและการรักษาโรคของตะวันออกมีความเป็นมายาวนาน และมีความคล้ายคลึงกันทั้งๆที่ทวีปเอเซียเป็นทวีปที่กว้างใหญ่โดยเฉพาะในอาเซียนไม่ว่าไทยพม่าลาวเขมรแม้กระทั่งชาวเกาะแบบฟิลิปปินส์อินโดเนเซียก็ล้วนมีปรัชญาในการรักษาแบบพื้นถิ่นที่ใกล้เคียงกันกล่าวได้ว่าอัตลักษณ์ของการแพทย์โบราณของอาเซียนนั้นเป็นอย่างเดียวกัน การแพทย์พื้นบ้านการดูแลสุขภาพของคนเอเซียหรือชาวอาเซียนนับได้ว่าเป็นปรัชญาที่มีรากเหง้าอันเดียวกัน คนเอเชียและชาวอาเซียนให้ความสำคัญกับอาหารการกิน ถือว่าอาหารเป็นยา ดังนั้นจึงมีอาหารต้องห้ามในแต่ละโรค มีอาหารที่ต้องกินหากป่วยด้วยโรคหนึ่งๆ  มีการใช้สมุนไพรที่ใกล้เคียงกัน มีการนวด และแม้แต่การออกกำลังกายก็มีปรัชญาตรงกันคือ ใช้หลักกายเคลื่อนไหวใจสงบไม่ว่าจะเป็นโยคะ ชี่กงไท้เก็ก หรือฤาษีดัดตน          ปรัชญาการรักษาสุขภาพของคนเอเชียมีศูนย์กลางใหญ่อยู่ที่อินเดียและจีน ดูเหมือนว่าทั้งสองแห่งนี้ก็ได้รับอิทธิพลทางแนวคิดของกันและกันอยู่ไม่น้อย ส่วนชนชาติเอเซียอื่นๆโดยเฉพาะในอาเซียนแม้ว่าจะมีภูมิปัญญาในการดูแลสุขภาพของตนเองแต่ก็ได้รับอิทธิพลจากจีนบ้าง อินเดียบ้างแล้วแต่ว่าในสมัยโบราณชาติไหนจะมีการสมาคม ติดต่อกับที่ไหนมากกว่า           ในอินเดียมีการรักษาเป็นระบบมาตั้งแต่2,400ปีก่อนอินเดียมีตำราอายุรเวท ซึ่งแปลว่า“วิทยาการแห่งชีวิต” เปรียบเสมือนตำราแพทย์เล่มใหญ่ ภาคส่วนที่เป็นตำรายาชื่อ“จารกะสังหิตา”เขียนขึ้นโดยหมอยาโบราณชื่อจารกะตั้งแต่1,000 ปีก่อนคริสตกาลและมีภาคส่วนของตำราศัลยกรรมชื่อ“ศศรุต สังหิตา”ซึ่งเขียนขึ้นโดยหมอศัลยกรรมคนแรกๆของโลกก็ว่าได้ ชื่อศศรุตตั้งแต่เมื่อ400ปีก่อนคริสตกาล  จะเห็นว่าความรู้การแพทย์แผนตะวันออก มีความรอบด้านคล้ายๆกับการแพทย์ในปัจจุบันยกตัวอย่างตำราอายุรเวทจะมีการกล่าวถึงการใช้สมุนไพรเกลือแร่การผ่าตัดการรักษาโรคด้วยพิธีกรรม และการให้ทาน          ความเชื่อทางการแพทย์ตามแบบอายุรเวทเน้นหนักไปที่ปราณหรือพลังชีวิต ในร่างกายมีทางเดินของปราณที่แน่นอนการเคลื่อนที่ของปราณมีจุดตัดกันที่เรียกว่าจักระ จักระทั้งหมดมีอยู่ด้วยกัน7ตำแหน่ง เรียงกันอยู่ตรงกลางของลำตัวตามแนวของกระดูกสันหลัง เรียงจากบนลงล่าง ตั้งแต่กระหม่อมลงไปถึงก้นกบ แต่ละจักระมีความสัมพันธ์กับต่อมต่างๆ ในร่างกาย คนอินเดียเชื่อว่าเมื่อใดที่จักระเสียความสมดุล หรือการเคลื่อนไหลของปราณติดขัด ร่างกายก็จะป่วย การรักษาโรคจึงต้องปรับจักระที่มีปัญหา โดยการใช้ยาสมุนไพร อาศัยการนวด และการฝึกโยคะ          การแพทย์แผนจีนก็มีการพูดถึงการเคลื่อนไหวของพลังงานหรือชี่ ชี่มีความสัมพันธ์กับอวัยวะภายในต่างๆ กัน และแนวคิดของการเกิดโรคก็เป็นเช่นเดียวกับอินเดีย หากเมื่อใดที่ทางเดินของชี่ติดขัดก็จะเกิดความเจ็บป่วย ปรัชญาการรักษาโรคของจีนจึงอาศัยหลักคิดทำนองเดียวกับอินเดีย คือต้องแก้ไขความติดขัดของชี่โดยใช้สมุนไพร ใช้การฝังเข็มชี่กงและการรมยาเป็นต้น          ปรัชญาการใช้สมุนไพรและเกลือแร่จำแนกตามรสคือขม หวานฝาดเค็มเผ็ด และ เปรี้ยว อาศัยแนวคิดที่ว่ารสที่ต่างกันมีผลต่ออวัยวะภายในที่ต่างกันเช่นรสเผ็ดมีผลต่อปอดและลำไส้ใหญ่ รสหวานมีผลต่อกระเพาะและม้าม รสเปรี้ยวมีผลต่อตับและถุงน้ำดีเป็นต้น  การแพทย์แผนจีนและแผนไทยก็ใช้แนวคิดทำนองเดียวกันนี้ รสของสมุนไพรที่ต่างกันก็จะใช้รักษาโรคต่างกันไป แนวคิดนี้ยังครอบคลุมถึงรสชาติของอาหารด้วยคนเอเชียส่วนใหญ่ถือว่าอาหารเป็นยา ในแต่ละฤดูกาลจะกินอาหารอย่างไรจึงจะไม่ป่วย หากไม่สบายแล้วจะต้องกินอย่างไรก็อาศัยแนวคิดเรื่องรสเป็นหลัก          สำหรับการผ่าตัด ต้องยอมรับว่าอินเดียเป็นชาติที่ทำการผ่าตัดนำหน้าชาติเอเชียอื่นๆ  จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ อินเดียมีบทลงโทษนักโทษที่หนักหนาสาหัสรองจากการประหารชีวิตคือยังให้รักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ให้ตัดมือและเท้าเป็นการประจานซึ่งหมายความว่าต้องอาศัยฝีมือผ่าตัดเย็บแผลห้ามเลือดตกแต่งบาดแผลเพื่อรักษาชีวิตให้รอด  นอกจากนี้ยังมีการแพทย์กล่าวถึงการผ่าตัดไต ผ่าตัดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะและการผ่าตัดอื่นๆสำหรับการผ่าตัดในช่องท้องอินเดียก็มีเทคนิคเย็บปิดหน้าท้องเฉพาะ ที่ใช้มดดำตัวใหญ่ อาศัยเขี้ยวอันโตของมันหนีบผิวหนังทั้งสองด้านให้ติดกัน มดดำยังมีกรดมดที่เข้มข้นเป็นยาแก้อักเสบของแผลได้อย่างดี  อินเดียมีเข็มสำหรับเย็บแผลที่ผิวหนังหน้าตาคล้ายเข็มเย็บผ้าผ้าธรรมดา แต่ใช้เส้นผมหรือเอ็นสัตว์หรือเส้นใยจากพืชแทนด้ายหรือไหม          ในจีนเริ่มแรกทีเดียว การแพทย์เป็นศาสตร์ที่ผสมผสานกันระหว่างการรักษากับศาสนา ราวคริสตศักราชที่500หมอจึงมีบทบาทในการรักษาอย่างแท้จริง แต่การแพทย์แผนจีนไม่ค่อยมีศัลยกรรม อย่างมากก็มีแค่การฝังเข็มการเจาะเลือดเอาเลือดออกเพื่อรักษาโรคแต่จีนเด่นในเรื่องสมุนไพร  จีนมีตำรายาสมุนไพรเป็นพันๆตำรับตำรายาที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ตำราของจักรพรรดิ์เหลือง “หวงตี้เน่ยจิ่ง”          แนวคิดทางการแพทย์ของแผนจีนต่างจากของอินเดียอย่างชัดเจนตรงที่ใช้ทฤษฎีหยิน หยาง ที่จริงความเชื่อของจีนนั้นหยินกับหยางเป็นหลักที่ใช้ได้ครอบจักรวาล ทุกอย่างรอบตัวเราประกอบด้วยความสมดุลของหยิน-พลังเย็น-กับหยาง-พลังร้อน-ทั้งนั้น           จีนยังให้ความสำคัญกับการจับชีพจรรักษาโรค หมอจีนต้องเรียนรู้ว่าชีพจรมีความแตกต่างกันแต่ละข้อมือมีตั้ง6ชีพจร สองมือรวมกันก็มีชีพจรถึง12แบบแต่ละแบบแทนการไหลของชี่แต่ละเส้น และบ่งบอกถึงนัยแห่งโรคที่แตกต่างกัน หมอจีนอาจจะอธิบายถึงลักษณะของชีพจรว่า“ไหลเหมือนน้ำ” หรือ“เหมือนน้ำหยดลงมาจากหลังคา” ซึ่งลักษณะนี้เองที่บอกถึงโรคที่แตกต่างกัน          ยาจีนมีชื่อเสียงมานานมีมากกว่า16,000ขนาน และปัจจุบันก็ใช้กันไปทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่นทุกวันนี้ ต้องยอมรับว่าไม่มีใครไม่รู้จักโสมในแง่เป็นยาชูกำลัง ใช้ได้ดีสำหรับคนแก่ และคนที่มีอาการอ่อนเพลีย          จีนยังเด่นในเรื่องของการฝังเข็ม การฝังเข็มคือการปักเข็มเข้าไปยังจุดต่างๆในร่างกายที่อยู่บนเส้นโครจรของพลัง ด้วยความเชื่อที่ว่าเข็มที่ฝังลงไปชั่วครู่ยามจะช่วยปรับสมดุลของการเคลื่อนที่ของพลังในร่างกาย การเลือกใช้จุดฝังเข็มขึ้นอยู่กับโรคและการวินิจฉัยโรค  จากตำราของจักรพรรดิเหลืองซึ่งมีอายุเกือบ2,500ปี กล่าวถึงการฝังเข็มว่ามีหลายรูปแบบ และกำหนดจุดฝังเข็มเอาไว้ประมาณ300-600จุด ซึ่งเห็นได้จากรูปสัมฤทธิ์ที่ขุดได้ในจีนเมื่อศตวรรษที่18 เป็นรูปปั้นที่แสดงถึงจุดฝังเข็มตามร่างกาย และมีเส้นโคจรของพลังงานชี่12เส้น          การแพทย์ของทิเบตรับเอาแนวคิดของนานาประเทศเอาไว้หลากหลาย ยาสมุนไพรมีส่วนคล้ายคลึงกับการแพทย์จีนค่อนข้างมาก แนวคิดเกี่ยวกับสรีระเป็นแบบกรีกและอราบิก คือเชื่อว่ามีน้ำเหลืองในร่างกาย การแพทย์ทิเบตมีภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัดและจิตวิญญาณซึ่งรับเอามาจากอินเดีย พระลามะยังใช้การสวดมนตร์รักษาโรค ซึ่งศาสตร์แห่งการแพทย์ถือเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาพุทธนิกายวัชระยานเลยทีเดียว  หมอยาในทิเบตไม่มีสำนักแน่นอน แต่จะร่อนเร่เดินทางไปรักษาผู้คนโดยแบกร่วมยาที่เต็มไปด้วยสมุนไพร เขาสัตว์ ไม้กวาดยา แถมด้วยมีดและหินลับมีดเอาไว้ลับมีดให้คมยามที่ต้องการผ่าตัด       การแพทย์แผนไทย มีความเป็นมาของเราเอง ถือหลักเป็นการแพทย์แนวพุทธะ เดิมทีการแพทย์จึงมีศูนย์กลางอยู่ที่วัด  มีความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางธรรมชาติใช้การผูกหรือมัดขวัญการเสกเป่าการแก้บนการสืบชาตาและมีการใช้น้ำมนต์ซึ่งปรับเป็นวัฒนธรรมในการดำเนินชีวิตของคนไทยโบราณ  คนโบราณไม่ได้มองว่าโรคมีสาเหตุจากเชื้อโรค แต่การเกิดโรคเป็นเพราะร่างกายขาดความสมดุลของธาตุสำคัญทั้งสี่ คือดินน้ำลมไฟหรือขาดความสมดุลกับธรรมชาติอากาศฤดูกาลเป็นต้นการตรวจวินิจฉัยของหมอไทยจะเน้นเรื่องของวันเดือนปีเกิด เพราะมีแนวคิดที่ว่าคนเราเกิดมามีธาตุเจ้าเรือนกำหนดมาตั้งแต่ในครรภ์มารดา จากนั้นจึงตรวจดูว่าอาการที่มีเป็นอาการของธาตุใด ธาตุทั้งสี่ไม่สมดุลอย่างไร อันไหนหย่อนอันไหนกำเริบหรือพิการอย่างไรจากนั้นจึงใช้ยาสมุนไพรรักษา          การรักษาตามแนวแผนไทยจะเน้นการใช้ยาสมุนไพรเป็นหลัก ประกอบกับการนวด อบประคบ ไม่มีการผ่าตัด แม้ว่าหมอไทยมี“มีดหมอ” แต่ก็ไม่ได้ใช้ผ่าตัด  หากใช้ข่มความเจ็บป่วยด้วยคาถาอาคม เพื่อสร้างศรัทธาและความขลังในการรักษาเท่านั้น การลงมีดหมอก็ไม่ได้เกิดบาดแผลใดๆบนร่างกาย          การแพทย์แผนไทยได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย ยาสมุนไพรส่วนหนึ่งเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านของเราเอง แต่ก็มีบางส่วนที่รับมาจากอินเดีย มีที่รับมาจากจีนบ้างแต่ก็เป็นส่วนน้อย ฤาษีดัดตนก็เป็นศาสตร์ที่ใกล้เคียงกับโยคะของอินเดียมาก ฤาษีหรือโยคีผู้ปฏิบัติโยคะก็มีที่มาจากชมพูทวีป          การแพทย์พื้นบ้านทั่วโลกล้วนมีความเป็นมาอันยาวนาน แต่ทั้งหมดมีความเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ เป็นภูมิปัญญาพื้นถิ่น ที่มนุษย์ดิ้นรนเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บ สาเหตุของโรคเกิดจากเงื่อนไขภายในร่างกาย การรักษาจึงเป็นการอาศัยธรรมชาติรอบตัวมาปรับสมดุลให้กับร่างกายของตนเอง ปรัชญาการแพทย์โบราณไม่ว่าของชาติไหนเอเชียอาเซียนอัฟริกาหรือแผนตะวันตกจึงมีจุดอ่อนอยู่ที่ไม่สามารถรักษาอาการติดเชื้อจากเชื้อโรค          เมื่ออเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่งค้นพบเพนนิซิลินฆ่าเชื้อแบคทีเรีย จุดนั้นจึงเป็นจุดเปลี่ยนของการแพทย์แผนตะวันตก เป็นจุดแห่งพัฒนาการของการแพทย์แผนปัจจุบันที่อาศัยยาเป็นหลัก แต่เมื่อการแพทย์แผนปัจจุบันมีบทบาทสูงมาประมาณ300ปี มนุษย์เราก็เริ่มไม่พอใจในวิธีการรักษาแผนปัจจุบันอีกโดยเฉพาะวิธีการรักษาโรคเรื้อรัง          ไม่ว่าที่ไหนในโลก คนเราต่างก็หันไปหาการแพทย์แผนพื้นถิ่นที่มีความเป็นมาที่ยาวนานกว่า ที่เน้นความเป็นสมดุลภายในร่างกายเพื่อการหายของโรค          จึงไม่น่าแปลกใจที่ยุคนี้ กลับกลายเป็นยุคเฟื่องของการแพทย์ที่นำเสนอภูมิปัญญาของคนรุ่นก่อน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายาปฎิชีวนะมีคุณยิ่งต่อการรักษาโรคติดเชื้อ ทางออกเพื่อการรักษาที่สมบูรณ์คือ จะต้องประสานปรัชญารักษาโรคแบบบรรพบุรุษให้เข้ากับการแพทย์แผนปัจจุบันการรักษาโรคจึงจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น                                                                               พญ.ลลิตา ธีระสิริ                                 บัลวีเวียงพิงค์ศูนย์ธรรมชาติบำบัด  
เผยแพร่เมื่อ 16 เมษายน 2563 • การดู 7,851 ครั้ง
ไทลื้อ
ไทลื้อ

ไทลื้อ          ชาวไทลื้อตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณตอนใต้ของจีนมีเมืองเชียงรุ่งในเขตสิบสองปันนามณฑลยูนาน เป็นศูนย์กลางชาวไทลื้อจึงมีประวัติศาสตร์ร่วมกับจีนมาเป็นเวลายาวนานในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมามีกลุ่มชาวไทลื้อบางส่วนได้อพยพและถูกกวาดต้อนลงมาอยู่ทางตอนเหนือของพม่า ตอนเหนือของลาวตอนเหนือของเวียดนามและทางภาคเหนือของประเทศไทยในบริเวณจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูนลำปางพะเยาแพร่และน่านเมื่อย้ายมาตั้งถิ่นฐานตามที่ต่างๆแล้วชาวไทลื้อก็มีการปรับตัวเข้ากับท้องถิ่นได้อย่างกลมกลืน โดยเฉพาะในส่วนบ้านเรือนที่อยู่อาศัยแต่เดิมนิยมสร้างเป็นเรือนไม้ยกพื้นสูงหลังคาขนาดใหญ่ลาดเอียงคลุมลงมาจนถึงฝาเรือน ภายในเรือนเป็นโถงกว้างและไม่นิยมทำหน้าต่างมากนักเพราะเป็นพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็น เมื่อชาวไทลื้อย้ายถิ่นฐานเข้ามาจึงมีการสร้างเรือนแบบหลังคาสองจั่วตามแบบเรือนไทยวนและมีหน้าต่างเรือนมากขึ้น เพื่อให้ถ่ายเทอากาศ ชาวไทลื้อมักประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักว่างเว้นจึงนิยมทอผ้าเพื่อไว้ใช้สอยและถวายเป็นพุทธบูชา ถึงแม้ว่าถิ่นฐานของชาวไทลื้อจะกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปแต่การดำรงชีวิตของกลุ่มไทลื้อทุกแห่งจะมีความคล้ายคลึงกัน เนื่องจากมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่เหมือนกัน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากภาษา การแต่งกายอาหารประเพณีและความเชื่อความศรัทธาในพระพุทธศาสนา หญิงสาวชาวไทลื้อมีฝีมือด้านการทอผ้าเป็นอย่างยิ่งเพราะได้รับการฝึกฝนมาจากแม่และญาติพี่น้องฝ่ายหญิงการออกแบบสร้างสรรค์ผ้าทอไทลื้อถือได้ว่ามีความวิจิตรพิสดารโดยสามารถทำเป็นลวดลายต่างๆได้ด้วยเทคนิคการจกการขิดและเกาะล้วงเช่นลายนาคลายหงส์ลายปราสาทเป็นต้นผ้าทอที่ทำขึ้นนั้นใช้สำหรับเป็นเครื่องนุ่งห่มของคนในครอบครัวรวมถึงเป็นเครื่องใช้จำพวกที่นอนหมอนผ้าห่มฯลฯทั้งนี้หากต้องการทำบุญก็จะทอตุงหรือผ้าที่ใช้ในพุทธศาสนาถวายที่วัดสร้างกุศลให้ผู้หญิงแทนการบวชพระ          การแต่งกายของสตรีชาวไทลื้อนิยมสวมเสื้อปั๊ดสีเข้มเป็นเสื้อที่ไม่มีกระดุมแต่จะผูกเชือกที่สาบเสื้อด้านซ้ายนุ่งซิ่นต๋าลื้ออาจมีเพิ่มลวดลายด้วยเทคนิคต่างๆเพื่อความสวยงามเกล้ามวยผมไว้บนกระหม่อมและเคียนหัวด้วยผ้าพื้นสีขาวหรือสีชมพูส่วนบุรุษนิยมสวมเสื้อแขนยาวสวมทับด้วยเสื้อปาหรือเสื้อกั๊กปักลวดลายด้วยเลื่อมสวมกางเกงขายาวสีเดียวกับเสื้อต่อหัวกางเกงด้วยผ้าสีขาวเคียนหัวด้วยผ้าพื้นสีขาวหรือสีชมพูทั้งชายและหญิงนิยมสะพายถุงย่ามหากไปวัดจะพาดบ่าด้วยผ้าเช็ดทุกครั้ง   ฐาปนีย์เครือระยา สำนักส่งเสริมศิลปวัมนธรรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เผยแพร่เมื่อ 15 เมษายน 2563 • การดู 23,807 ครั้ง
ลัวะ
ลัวะ

ลัวะ          ลัวะหรือละว้าหรือละเวือะคือชนเผ่าพื้นเมืองก่อนชาติพันธุ์ไทเป็นเจ้าของพื้นที่ดั้งเดิมก่อนการสร้างชาติรัฐล้านนาในอดีตลัวะเคยมีวิวัฒนาการที่เจริญรุ่งเรืองมีการสร้างบ้านแปลงเมืองมีระบอบการปกครองมีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตเป็นอัตลักษณ์เป็นของตนเองเมื่อถูกชาติพันธุ์ไทรุกรานจึงถอยร่นสู่ที่ราบเชิงเขาและสันเขาปัจจุบันตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ในรัฐฉานสหภาพพม่าตอนเหนือของลาวและทางภาคเหนือของประเทศไทยโดยกระจัดกระจายอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่แม่ฮ่องสอนเชียงรายและน่านในส่วนของบ้านเรือนที่อยู่อาศัยชาวลัวะนิยมสร้างเรือนไม้ยกพื้นสูงหลังคาสูงชันคลุมลงเกือบจรดพื้นดินมุงด้วยหญ้าคาหรือตองตึงมีกาแลสลักไขว้กันสองอันเป็นหน้าจั่วและเนื่องจากชาวลัวะมีอาชีพหลักคือเกษตรกรรมรอบๆหมู่บ้านจะเป็นพื้นที่สำหรับเพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์          ชาวลัวะมีภาษาเป็นของตนเองคือภาษาลัวะเป็นภาษาในตระกูลออสโตรเอเชียติกกลุ่มมอญ-เขมรแต่เดิมมีการนับถือผีโดยเฉพาะผีเสื้อบ้านและผีบรรพบุรุษโดยเมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายหญิงจะนับถือสายผีตามสามีและบุตรชายคนเล็กจะได้สิทธิ์ในการรับมรดกและดูแลสายผีภายหลังเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับคนพื้นราบจึงได้มีการนับถือพระพุทธศาสนาควบคู่ไปกับความเชื่อดั้งเดิมและซึมซับรับวัฒนธรรมจากกลุ่มชาติพันธุ์ไทเข้าไปใช้ในชีวิตประจำวัน          สตรีชาวลัวะนิยมสวมเสื้อสีขาวหรือสีดำแขนสั้นกุ๊นด้วยด้ายสีนุ่งซิ่นสั้นครึ่งเข่าสีดำมีลายคั่นเป็นแถบสีแดงชมพู และน้ำเงินแซมขาว ซึ่งได้จากการมัดย้อมหรือปั่นไกพันแขนด้วยผ้าปอเต๊ะพันขาด้วยผ้าปอซวงสตรีชาวลัวะนิยมแสกกลางศีรษะมวยต่ำไว้ท้ายทอยประดับมวยผมด้วยปิ่นขนเม่นสวมสร้อยเงินเม็ดสร้อยลูกเดือยสร้อยลูกปัดสีแดงสีส้มสีเหลืองและใส่ตุ้มหูไหมพรมยาวถึงไหล่ส่วนบุรุษนิยมสวมเสื้อแขนยาวสีขาวผ่าหน้านุ่งกางเกงสะดอขาวเคียนหัวด้วยผ้าสีแดงหรือชมพูและพกมีดด้ามงาช้าง   ฐาปนีย์เครือระยา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่  
เผยแพร่เมื่อ 15 เมษายน 2563 • การดู 31,866 ครั้ง
ไทยวน
ไทยวน

ไทยวน          ไทยวนหรือคนเมืองคือกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ที่อาศัยอยู่บริเวณภาคเหนือของประเทศไทย   มักตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไหลผ่านระหว่างหุบเขา เช่นลุ่มแม่น้ำปิงเป็นที่ตั้งของเมืองเชียงใหม่และลำพูน ลุ่มแม่น้ำวังเป็นที่ตั้งของเมืองลำปาง ลุ่มแม่น้ำยมเป็นที่ตั้งของเมืองแพร่ และลุ่มแม่น้ำน่านเป็นที่ตั้งของเมืองน่านเป็นต้นในอดีตชาวไทยวนประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักตามภูมิประเทศที่อาศัยตั้งถิ่นฐาน ทั้งนี้มีชาวไทยวนที่ถูกกวาดต้อนลงไปอยู่ในพื้นที่ภาคกลางคือตำบลเสาไห้จังหวัดสระบุรีและตำบลคูบัวจังหวัดราชบุรีเป็นต้น          ชาวไทยวนมีภาษาขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีศิลปวัฒนธรรมวิถีชีวิตและความเชื่ออันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนในสังคมของชาวไทยวนมีความคิดในเรื่องผีผสมพุทธศาสนาโดยเฉพาะผีปู่ย่า(ผีบรรพบุรุษ)จะมีบทบาทในการควบคุมพฤติกรรมของลูกหลานชาวไทยวนให้ประพฤติตนถูกต้องตามจารีตประเพณีและกรอบที่ดีงามของสังคมอีกทั้งมีความเชื่อเรื่อง“ขึด”คือข้อห้ามหรือข้อปฏิบัติที่ถูกต้องที่ควรปฏิบัติไม่ให้เกิดสิ่งไม่ดีขึ้นกับตัวเองและครอบครัว  ภาษาเขียนและภาษาพูดของชาวไทยวนมีรูปแบบเป็นของตนเองซึ่งในปัจจุบันก็ยังพบเป็นการใช้ภาษาเขียนในพระธรรมคัมภีร์พุทธศาสนาและปั๊บสาใบลานทั้งนี้ภาษาเขียนของไทยวนหรือเรียกว่า“อักษรล้านนาหรืออักษรธรรม”ยังใช้ในกลุ่มชาวไทลื้อเชียงรุ่งและไทเขินเชียงตุงด้วยเนื่องจากในอดีตชาวล้านนาได้นำพุทธศาสนาเข้าไปเผยแพร่ยังสองดินแดนนี้ ในส่วนของบ้านเรือนที่อยู่อาศัยชาวไทยวนนิยมสร้างเป็นเรือนไม้ยกพื้นสูงมีทั้งหลังคาแบบจั่วเดียวและหลังคาจั่วแฝดซึ่งรูปแบบเรือนที่นิยมทำกันมากคือเรือนจั่วแฝดแบบ“เรือนกาแล”ที่มียอดจั่วเป็นไม้ไขว้กันตกแต่งด้วยการฉลุลวดลายอย่างสวยงาม          การแต่งกายของสตรีชาวไทยวนในอดีตแต่เดิมนิยมเปลือยท่อนบนนุ่งซิ่นต๋าต่อตีนต่อเอวเกล้ามวยผมไว้ท้ายทอยเมื่อมีโอกาสพิเศษจึงมัดอกหรือห่มสะหว้ายด้วยผ้าสีพื้นหรือผ้าลายดอกนุ่งซิ่นตีนจกหรือสอดดิ้นเงินดิ้นทองตามฐานะภายหลังนิยมสวมเสื้อแขนกระบอกและห่มสไบสะหว้ายทับพร้อมหย้องเครื่องประดับสวยงามส่วนบุรุษแต่เดิมนิยมเปลือยท่อนบนนุ่งเฅ็ดม่ามนุ่งผ้าต้อยสักต้นขาภายหลังนิยมแต่งชุดราชประแตนและชุดเตี่ยวสะดอตามสมัยนิยมที่ได้รับอิทธิพลมาจากภาคกลางและชาวตะวันตก   ฐาปนีย์เครือระยา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เผยแพร่เมื่อ 15 เมษายน 2563 • การดู 22,405 ครั้ง
ปกาเกอะญอ
ปกาเกอะญอ

กะเหรี่ยง          กะเหรี่ยงหรือปกาเกอะญอคนล้านนามักเรียกว่า“ยาง”พม่าเรียกว่า“กะยิ่น”ชาวตะวันตกเรียกว่า“กะเรน”กลุ่มชาติพันธุ์นี้เรียกตนเองว่า“กะเหรี่ยง”ประกอบด้วยกะเหรี่ยงหลากหลายกลุ่มกลุ่มใหญ่ๆคือปกาเกอะญอ(สกอว์)โพล่ง(โปว์)ตองสู้(ปะโอ)และบะแก(บะเว)แต่เดิมกะเหรี่ยงตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณต้นแม่น้ำสาละวินสหภาพพม่าต่อมาได้อพยพเข้ามาตามแนวตะเข็บชายแดนไทย-พม่าสู่ภาคเหนือและภาคตะวันตกของประเทศไทยใน15จังหวัดเช่นเชียงใหม่ลำพูนแม่ฮ่องสอนตากและกาญจนบุรี แม้กะเหรี่ยงจะได้ชื่อว่าเป็นชาวเขาแต่ก็มิได้อาศัยบนเขาสูงเสียทั้งหมดบางส่วนสร้างบ้านแปลงเรือนอาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ราบหรือพื้นที่ราบเชิงเขาเหมือนกลุ่มชาติพันธุ์ไทอื่นๆเช่นชาวกะเหรี่ยงในบ้านพระบาทห้วยต้มอำเภอลี้จังหวัดลำพูนเป็นต้นในส่วนของบ้านเรือนที่อยู่อาศัยชาวกะเหรี่ยงนิยมสร้างเรือนไม้ยกพื้นสูง มีชานเรือน หลังคาหน้าจั่วยาวคลุมตัวบ้านมุงด้วยหญ้าคาไม่มีหน้าต่างและดำรงชีพด้วยเกษตรกรรมและหาของป่า          กะเหรี่ยงมีภาษาเป็นของตนเองคือภาษากะเหรี่ยงเป็นภาษาในตระกูลจีน-ทิเบตสาขาทิเบต-พม่าแบ่งเป็นภาษาย่อยได้8ภาษาคือสะกอโปกะยาเฆโกมอบวา(บิลีจี,เดอมูฮา)ปาไลซิต้องสู้และเวเวานอกจากนี้ยังมีสำเนียงอีกหลายแบบซึ่งแตกต่างกันไปตามพื้นที่ตั้งถิ่นฐานแด่เดิมชาวกะเหรี่ยงนับถือผีโดยเฉพาะผีบรรพบุรุษผีอารักษ์และผีต่างๆที่สถิตตามป่าเขาลำน้ำและบริเวณหมู่บ้านต่อมาเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับคนพื้นราบจึงหันมานับถือพระพุทธศาสนาและบางส่วนนับถือศาสนาคริสต์ตามที่มิชชั่นนารีได้เข้ามาเผยแพร่ศาสนจักร          การแต่งกายของชาวกะเหรี่ยงแต่ละพื้นที่แต่ละกลุ่มมีการแต่งกายที่ต่างกันแต่มีจุดร่วมที่คล้ายๆกันคือเด็กและหญิงสาวจะเป็นชุดคลุมยาวเป็นผ้าฝ้ายพื้นขาวทอหรือปักประดับลวดลายให้งดงามส่วนสตรีที่แต่งงานแล้วจะสวมเสื้อสีดำน้ำเงินหรือสีเข้มและผ้านุ่งสีแดงคนละท่อนตกแต่งด้วยลูกเดือยหรือทอยกดอกยกลายส่วนบุรุษนิยมสวมเสื้อตัวยาวถึงสะโพกตัวเสื้อจะมีการตกแต่งด้วยแถบสีไม่มีการปักประดับเหมือนเสื้อสตรีนุ่งกางเกงสะดอ นิยมใช้สร้อยลูกปัดเป็นเครื่องประดับและสวมกำไลเงินหรือตุ้มหู ฐาปนีย์เครือระยา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เผยแพร่เมื่อ 15 เมษายน 2563 • การดู 20,284 ครั้ง
ดาราอั้ง
ดาราอั้ง

ดาราอั้ง          ดาราอั้งหรือที่ชาวไทใหญ่เรียก“ปะหล่อง” เป็นชนเผ่าที่มีที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บนดอยสูงกระจัดกระจายอยู่บริเวณรัฐฉานรัฐคะฉิ่นสหภาพพม่าและมณฑลยูนนานประเทศจีนแต่ด้วยภัยสงครามและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศพม่าช่วงปีพ.ศ.2511–2527 ชาวดาราอั้งจำนวนมากต้องข้ามน้ำสาละวินลัดเลาะจากเชียงตองเมืองปั่นในเขตเชียงตุงมายังฝั่งประเทศไทยมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงโปรดเกล้าฯให้อาศัยบริเวณบ้านนอแลบ้านห้วยเลี้ยมบ้านแคะนุซึ่งเป็นหมู่บ้านใกล้กับพื้นที่รับผิดชอบของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง อำเภอฝางและส่วนหนึ่งจัดให้อยู่บ้านปางแดงบ้านแม่จรบ้านห้วยโป่งอำเภอเชียงดาวบ้านห้วยหวายบ้านห้วยทรายขาวอำเภอแม่อายจังหวัดเชียงใหม่และบ้านสันต้นปุยอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงรายในส่วนของเรือนที่อยู่อาศัยชาวดาราอั้งนิยมสร้างเรือนด้วยเสาไม้ฟากและฝาเป็นไม้ไผ่สับเป็นเรือนยกพื้นสูงขึ้นอยู่กับความลาดชันบนไหล่เขาและหลังคามุงด้วยหญ้าคาดำรงชีพด้วยการทำเกษตรกรรมปลูกข้าวปลูกข้าวโพดและเลี้ยงสัตว์          ชาวดาราอั้งมีภาษาพูดเป็นของตนเองคือภาษาดาราอั้งจัดอยู่ในกลุ่มภาษาปะหล่อง – วะแต่โดยทั่วไปแล้วชาวดาราอั้งสามารถพูดภาษาไทยใหญ่ได้ เนื่องจากถิ่นฐานเดิมอยู่ใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มไทใหญ่ชาวดาราอั้งมีชีวิตที่ค่อนข้างสงบและเรียบง่ายด้วยเพราะศรัทธาในพระพุทธศาสนาควบคู่ไปกับความเชื่อเรื่องผีอันเป็นความเชื่อดั้งเดิมของบรรพบุรุษ          สตรีชาวดาราอั้งนิยมสวมเสื้อแขนกระบอกผ่าหน้าเอวลอยสีสันสดใสส่วนมากนิยมสีดำน้ำเงินเขียวและม่วงในส่วนของสาบเสื้อเย็บด้วยผ้าสีแดงตกแต่งด้วยเลื่อมและลูกปัดหลากสีนุ่งซิ่นลายขวางสีแดงสลับลายริ้วขาวเส้นเล็กๆผืนยาวกรอมเท้าเคียนหัวด้วยผ้าพื้นสีขาวและที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นคือการสวมเอวด้วยวงหวายบางคนก็ใช้โลหะสีเงินหรือทองตัดเป็นแถบยาวตอกลายแล้วขดเป็นวงสวมใส่ปนกันเรียกว่า “หน่องว่อง”สำหรับบุรุษชาวดาราอั้งนิยมสวมเสื้อแขนยาวสีขาวกางเกงสะดอหรือกางเกงเซี่ยมสีน้ำเงินเคียนหัวด้วยผ้าพื้นสีขาวและที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นคือการแกะฟันและฝังด้วยทองคำหรืออัญมณีถือดาบสะพายย่ามสูบกล้องยาสูบ      ฐาปนีย์เครือระยา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เผยแพร่เมื่อ 15 เมษายน 2563 • การดู 13,981 ครั้ง
ไทใหญ่
ไทใหญ่

ไทใหญ่ มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่รัฐฉานสหภาพพม่า เรียกตัวเองว่า“คนไต”แต่ชาวล้านนาทั่วไปมักเรียกว่า “เงี้ยว” โดยมีเมืองหลวงที่ถือเป็นศูนย์กลางคือเมืองตองจีหรือตองกี  นอกจากนั้นยังมีชาวไทใหญ่ส่วนหนึ่งที่อพยพมาอาศัยอยู่ในประเทศไทย เช่นจังหวัดแม่ฮ่องสอนจังหวัดเชียงรายและอำเภอเชียงดาว อำเภอเวียงแหง ทางตอนเหนือของจังหวัดเชียงใหม่ ทั้งนี้ยังมีกลุ่มชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในทางตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลยูนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เช่น เมืองมาว เมืองวัน เมืองหล้า เมืองขอน เป็นต้น และบางส่วนของรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย โดยเฉพาะที่ตำบลซ้างปานี แขวงเมืองสิพพสาครและอรุณาจลประเทศซึ่งเป็นพื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขาทั้งสิ้นชาวไทใหญ่นินมสร้างเรือนใต้ถุนเตี้ยหลังคาจั่วเดียวหากเป็นครัวครอบใหญ่นิยมสร้างเป็นหลังคาสองจั่วและมักประกอบอาชีพเกษตรกรรมและการค้าขาย ไทใหญ่มีภาษาการดำเนินชีวิตขนบธรรมเนียมประเพณีศิลปวัฒนธรรมโดดเด่นแตกต่างออกไปจากชาวไทลื้อและชาวไทยวนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการนับถือพุทธศาสนาควบคู่กับภูตผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีวิธีการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดส่วนใหญ่อยู่ในรูปของเทวดาและผีเสื้อบ้านเสื้อเมือง และยึดถือในการทำบุญแต่ละประเพณีเป็นอย่างมาก ดังประโยคที่กล่าวไว้ว่า “กินอย่างม่าน ตานอย่างไต” ที่หมายถึงชาวไทใหญ่จะนิยมการทำบุญทำทานมาก            สตรีชาวไทใหญ่นิยมสวมเสื้อแซคเป็นเสื้อเนื้อบางแขนยาวหรือสามส่วนป้ายสาบเสื้อทับไปทางขวาโดยใช้กระดุมผ้าหรือกระดุมโลหะสอดยึดห่วงนุ่งซิ่นเนื้อบางเช่นซิ่นก้องซิ่นส่วยต้องซิ่นปะล่องซิ้นหล้ายซิ่นฮายย่าซิ่นถุงจ้าบและซิ่นปาเต๊ะ ทรงผมเกล้ามวยตามอายุเช่นหากเป็นเด็กมักปล่อยหน้าม้าเมื่อเจริญวัยจึงเกล้ามวยผมไว้กลางกระหม่อมที่เรียกว่า“สะต๊อก”พอแต่งงานและเริ่มสูงวัยขึ้นจึงทำผมทรงเกล้าป้าดเกล้าขัดแก้งและเกล้าจ็อกตามอายุ ส่วนบุรุษนิยมสวมเสื้อเเซคหรือเสื้อแต้กปุ่งเป็นเสื้อแขนยาวคอกลมกระดุมผ่าหน้ามีกระเป๋าเสื้อ           นุ่งกางเกงสะดอเรียกว่า“ก๋นไตหรือโก๋นโห่งโย่ง”มัดเอวและเคียนหัวด้วยผ้าสีอ่อนเช่นสีขาวชมพูหรือเหลือง   ฐาปนีย์เครือระยา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่  
เผยแพร่เมื่อ 15 เมษายน 2563 • การดู 12,575 ครั้ง
ไทเขิน
ไทเขิน

ไทเขิน          ไทเขินหรือไทขึนเป็นชนชาติหนึ่งที่เรียกตนเองตามพื้นที่อยู่อาศัยในลุ่มแม่น้ำ “ขึนหรือขืน” ถือเป็นรัฐที่อยู่ในหุบเขาโดยมีเมืองเชียงตุงเป็นศูนย์กลาง ในเขตการปกครองของรัฐฉาน สหภาพเมียนมาร์ ไทเขินที่อาศัยอยู่ในเมืองเชียงตุง เป็นกลุ่มไทที่มีภาษาและวัฒนธรรมแตกต่างไปจากกลุ่มไทใหญ่ในรัฐฉาน ทั้งนี้แม้จะอยู่ในเขตรัฐฉานแต่ไทเขินก็มีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมอื่นด้วยเช่นไทยวนและไทลื้อเป็นต้นซึ่งทำให้รากฐานทางภาษาสังคม ศิลปวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี และประวัติศาสตร์มีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมอื่นๆที่ใกล้ชิดกันโดยเฉพาะความเชื่อความศรัทธาในเรื่องผีผสมผสานกับพระพระพุทธศาสนา          ภาษาเขียนของชาวไทเขินได้รับมาจากอักษรธรรมล้านนาที่ชาวไทยวนล้านนาเข้าไปเผยแพร่พร้อมกับรากฐานทางพุทธศาสนาส่วนภาษาพูดมีความใกล้เคียงกับภาษาไทลื้อและไทยองด้านวิถีชีวิตและความเป็นอยู่โดยทั่วไปชาวไทเขินมักทำการเกษตรปลูกข้าวพืชผักเลี้ยงสัตว์อย่างพอเพียงในครอบครัวและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในสังคมแบบเครือญาติ ในอดีตชาวไทเขินบางส่วนถูกกวาดต้อนลงมายังอำเภอเมืองและอำเภอสันป่าตองจังหวัดเชียงใหม่ชาวไทเขินกลุ่มนี้มีความสามารถในการทำงานหัตถกรรมประเภทเครื่องเงินเครื่องเขินส่วนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบันที่หลงเหลือคือการสร้างเรือนไทเขินเป็นเรือนไม้ยกพื้นสูงหลังคาเรือนทรงจั่วปีกหลังคายื่นยาวเหมือนเรือนไทลื้อในสิบสองปันนาเมื่อย้ายถิ่นฐานเข้ามาในจังหวัดเชียงใหม่ก็ผสมผสานเรือนแบบหลังคาสองจั่วตามแบบเรือนไทยวนมาด้วยทั้งนี้ชาวไทเขินที่อยู่ในอำเภอสันป่าตองยังมีภาษาพูดแบบไทเขินที่ใช้สืบต่อกันมา การแต่งกายของสตรีชาวไทเขินนิยมสวมเสื้อปั๊ดผ้าแพรสีอ่อนเช่นสีชมพูสีขาวสีเหลืองสีครีม นุ่งซิ่นต๋าลื้อหรือต๋าโยนต่อตีนเขียวหากเป็นสตรีชนชั้นสูงจะนุ่งซิ่นไหมคำตีนบัวปักโลหะในโอกาสพิเศษ     เกล้ามวยผมไว้กลางกระหม่อมและเคียนหัวด้วยผ้าพื้นสีขาวหรือสีชมพู ส่วนบุรุษนิยมสวมเสื้อแขนยาวคอกลมหรือคอตั้งกระดุมผ่าหน้าสวมกางเกงสะดอและเคียนหัวด้วยผ้าพื้นสีขาวหรือสีชมพู   ฐาปนีย์เครือระยา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เผยแพร่เมื่อ 15 เมษายน 2563 • การดู 12,554 ครั้ง