สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและล้านนาสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 
spinner loadding
ตึกสำนักส่งเสริมสิลปวัฒนธรรม
เด็กๆเรียนรู้หลักสูตรระยะสั้น
นักท่องเที่ยวต่างชาติเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา
นิทรรศการศิลปวัฒนธรรม
ห้องอาหาร นิทรรศการเรือนทรงอาณานิคม
นักศึกษาวาดภาพ
 
 

เกี่ยวกับสำนัก

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้จัดตั้งโครงการศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ในปี พ.ศ. 2528 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทํานุบํารุงและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม รวบรวมและค้นคว้าข้อมูลวิชาการด้านศิลปวัฒนธรรมล้านนา ให้บริการวิชาการแก่สังคม โดยการจัดประชุม อบรม สัมมนา เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้แสดงความคิดเห็น และสร้างความเข้าใจอันถูกต้อง เพื่อสร้างมาตรฐานทางด้านศิลปวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิลปวัฒนธรรมล้านนา ทบวงมหาวิทยาลัยจึงได้ประกาศยกฐานะโครงการศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม เป็น สํานักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ขึ้นเป็นส่วนราชการของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2536 ตามประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 110 ตอนที่ 87 โดยจัดตั้งขึ้นตามพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัย ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2530 มาตรา 7 คือ "...ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นสถานศึกษาและวิจัย มีวัตถุประสงค์ในการศึกษา ส่งเสริมวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง ทําการสอน ทำการ วิจัย ให้บริการแก่สังคมและทะนุบํารุงศิลปวัฒนธรรม..." อ่านต่อ

 
สายตรงผู้บริหาร
 
ปฏิทินล้านนา 2566
 
สำนักงานสีเขียว
 
เครือข่ายศิลปวัฒนธรรม

ข่าวประชาสัมพันธ์

วันวิสาขบูชา
วันวิสาขบูชา
• "วันวิสาขบูชา" เป็นวันที่สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ซึ่งเกิดขึ้นในวันและเดือนเดียวกัน คือ ในวันเพ็ญ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ) เดือนหก หรือเดือนเวสาขะ พระจันทร์เสวยวิสาขฤกษ์ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อกว่าสองพันห้าร้อยปีมาแล้ว ในห้วงระยะเวลาที่ต่างกันคือ              ครั้งแรก เมื่อพระพุทธเจ้าประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ โอรสพระเจ้าสุทโธธนะ และพระนางสิริมหามายา แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ โดยประสูติที่ป่าลุมพินีวัน ณ เขตแดนรอยต่อระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ของฝ่ายพระราชบิดากับกรุงเทวทหะของฝ่ายพระราชมารดา            ครั้งที่สอง เกิดเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะออกทรงผนวชได้ ๖ ปี พระชนมายุ ๓๕ พรรษา ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นอรหันตพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ริ่มฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ประเทศมคธ ปัจจุบันคือที่ตั้งพุทธคยา           ครั้งที่สาม เกิดเมื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อพระชนมายุ ๘๐ พรรษา ณ เมืองกุสินารา           เหตุการณ์สำคัญทั้ง ๓ ประการนี้เกิดขึ้นในวันและเดือนเดียวกันทางจันทรคติ ซึ่งนับวันขึ้นแรม ตามวิถีการโคจรของดวงจันทร์ เป็นหลักในการกำหนดวัน เดือนและปี ซึ่งยังคงใช้กันมาอยู่จนถึงปัจจุบัน ควบคู่กันไปกับการกำหนดวัน เดือน และปีทางสุริยคติ ซึ่งเป็นไปตามวิถีการโคจรของดวงอาทิตย์ นับเป็นเรื่องอัศจรรย์ซึ่งยังไม่เคยมีการประจวบกันเช่นนี้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด และเหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ใดมาก่อนจนตราบปัจจุบัน แต่ความอัศจรรย์ดังกล่าวก็ยังไม่เทียบเท่ากับการอุบัติของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาในโลก และได้ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาเพื่ออนุเคราะห์โลกให้เกิดประโยชน์สุขแก่มนุษยชาติและสัตว์โลกทั้งมวล "วันวิสาขบูชา" จึงนับว่าเป็นวันสำคัญสูงสุดในพระพุทธศาสนา เป็นวันที่ก่อให้เกิดพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้พระธรรม และนำมาสั่งสอนแก่สรรพสัตว์และพระสงฆ์สาวกผู้สืบพระศาสนาต่อมาจนถึงปัจจุบัน           ในวันนี้พุทธศาสนิกชนต่างพากันน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยการไปชุมนุมตามพระอารามต่างๆ เพื่อกระทำการบูชาปูชนียวัตถุ ได้แก่ พระธาตุเจดีย์ (พระพุทธปฏิมา) ที่เป็นพระประธานในพระอุโบสถ อย่างใดอย่างหนึ่งด้วยเครื่องบูชา มีดอกไม้ ธูปเทียน เป็นต้น เริ่มด้วยการสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ด้วยบทสวดมนต์ตามลำดับ ดังนี้           บทสรรเสริญพระพุทธคุณ ด้วยบท "อิติปิโสภควา อรหังสัมมาสัมพุทโธ...พุทโธภควาติ"           บทสรรเสริญพระธรรมคุณ ด้วยบท "สวากขาโต ภควตาธัมโม...วิญญูหิติ"           บทสรรเสริญพระสังฆคุณ ด้วยบท "สุปฏิปันโน ภควโตสาวกสังโฆ...โลกัสสาติ"           จากนั้นก็จะกระทำประทักษิณ (เวียนเทียน) รอบพระธาตุเจดีย์หรือพระพุทธปฎิมาในพระอุโบสถ ด้วยการเดินเวียนขวา ๓ รอบ รอบแรกจะสวดบทสรรเสริญพระพุทธคุณ รอบที่ ๒ จะสวดบทสรรเสริญพระธรรมคุณ และรอบที่ ๓ สวดบทสรรเสริญพระสังฆคุณ เมื่อครบ ๓ รอบแล้วจึงนำดอกไม้และธูปเทียนไปบูชาพระธาตุเจดีย์หรือพระพุทธรูปในพระอุโบสถ ณ ที่บูชา อันควรเป็นอันเสร็จพิธีเวียนเทียน จากนั้นก็จะมีการแสดงพระธรรมเทศนาในพระอุโบสถ ซึ่งปกติจะมีเทศน์ปฐมสมโพธิ ซึ่งเป็นเรื่องพระพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน พิธีเริ่มตั้งแต่ประชุมฟังพระทำวัตรสวดมนต์ แล้วจึงฟังเทศน์ซึ่งจะมีไปตลอดรุ่ง "วันวิสาขบูชา" จึงเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนได้บำเพ็ญประโยชน์ตนและสืบต่อพระพุทธศาสนาให้ดำรงคงอยู่อย่างถูกต้อง เพื่อประโยชน์สุขของตนเองและผู้อื่นตลอดชั่วกาลนาน ที่เราเรียกว่า "วันวิสาขบูชา" นั้น เพราะเป็นวันตรงกับวันเพ็ญ (วันกลางเดือนพระจันทร์เต็มดวง) เดือนวิสาขบูชาซึ่งตรงกับเดือน ๖ ของไทย วันกลางเดือน ๖ เป็นวันที่พระจันทร์เสวยวิสาขฤกษ์ ถ้าเป็นปีที่มีอธิกมาส (คือมีเดือน ๘ สองหน) ก็เลื่อนไปเป็นวันเพ็ญ (วันกลางเดือน) เดือน ๗           "วันวิสาขบูชา" เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายถือเอาความอัศจรรย์ ๓ ประการที่เกิดขึ้นในวาระเดียวกัน แต่ละประการได้เกิดขึ้นในโอกาสต่างกัน เป็นหลักการใหญ่เมื่อวันเช่นนี้เวียนมาถึงรอบปี พุทธศาสนิกชนจึงประกอบพิธีสักการะบูชาเป็นการยิ่งใหญ่ ความอัศจรรย์ทั้ง ๓ ประการที่เกิดในวันวิสาขบูชา ได้แก่           ๑. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ พระพุทธเจ้าพระมหาบุรุษของโลก ทรงเป็นเอกอัครบุรุษประสูติมาในโลกเพื่อบำเพ็ญประโยชน์สุขและเกื้อกูลแก่ปวงชนเป็นจำนวนมาก พระพุทธเจ้าประสูติมาเป็นแสงสว่างเป็นดวงประทีปของโลก ในทางเผยแผ่สัจธรรมเพื่อความสงบร่มเย็นของชาวโลก พระพุทธเจ้าประสูติขึ้นมาเพื่ออนุเคราะห์ชาวโลกเพื่อบำเพ็ญประโยชน์เกื้อกูลและความสุขสงบของเทวดาและมนุษย์ทั่วไป อันมีประวัติว่า เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระสวามีให้แปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ ซึ่งเป็นพระนครเดิมของพระนาง เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี ครั้นพระกุมารประสูติได้ ๕ วันก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ"           ๒. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณ การตรัสอริยสัจสี่ คือของจริงอันประเสริฐ ๔ ประการของพระพุทธเจ้าเป็นการตรัสรู้อันยอดเยี่ยม ไม่มีผู้เสมอเหมือน วันตรัสของพระพุทธเจ้าจึงจัดเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันที่ให้เกิดมีพระพุทธเจ้าขึ้นในโลกชาวพุทธทั่วไป จึงเรียกวันวิสาขบูชาว่า วันพระพุทธ (เจ้า) อันมีประวัติว่าพระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรต่อไป ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัย เรียกว่าการเข้า "ฌาน" เพื่อให้บรรลุ "ญาณ" จนเวลาผ่านไปจนถึง ...           ยามต้น: ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุติญาณ" คือ ทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่น           ยามสอง: ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" คือ การรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย           ยามสาม: ทรงบรรลุ "อาสวักขญาณ" คือรู้วิธีกำจัดกิเลสด้วยอริยสัจ ๔ (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ซึ่งขณะนั้นพระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา           ๓. วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน (ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติสร้างภพอีกต่อไป) การปรินิพพานของพระพุทธเจ้าก็ถือเป็นวันสำคัญของชาวพุทธทั่วโลกเพราะชาวพุทธทั่วโลกได้สูญเสียดวงประทีปของโลก เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และครั้งสำคัญ ชาวพุทธทั่วไปมีความเศร้าสลดเสียใจและอาลัยสุดจะพรรณนา อันมีประวัติว่าเมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมมาเป็นเวลานานถึง ๔๕ ปี ซึ่งมีพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ในระหว่างนั้นทรงประชวรอย่างหนัก ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน ๖ พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ ตามคำกราบทูลนิมนต์ พระองค์เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวาย ก็เกิดอาพาธลง แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธุ์ปรินิพพาน ในราตรีนั้นได้มีปริพาชกผู้หนึ่งชื่อ "สุภัททะ" ขอเข้าเฝ้า และได้อุปสมบทเป็นพระพุทธสาวกองค์สุดท้าย เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้นพระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด "หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธุ์ปรินิพพาน ในราตรีเพ็ญเดือน ๖ นั้น           พุทธกิจ ๕ ประการ           ๑. ตอนเช้า เสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ คือเสด็จไปโปรดจริง เพราะทรงพิจารณาเห็นตอนจวนสว่างแล้ว ว่าวันนี้มีใครบ้างที่ควรไปโปรดทรงสนทนาหรือแสดงธรรมให้ละความเห็นผิดบ้าง ทรงส่งเสริมผู้ปฏิบัติชอบอยู่ แล้วให้ปฏิเสธชอบบ้าง เป็นต้น           ๒. ตอนบ่าย ทรงแสดงธรรมเทศนาแก่ประชาชนที่มาเฝ้า ณ ที่ประทับ ซึ่งปรากฏว่าไม่วาพระองค์จะประทับอยู่ที่ใด ประชาชนทุกหมู่ทุกเหล่าตลอดถึงผู้ปกครองนครแคว้นจะชวนกันมาเฝ้าเพื่อสดับตับพระธรรมเทศนาทุกวันมิได้ขาด           ๓. ตอนเย็น ทรงเเสดงโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ทั้งมวลที่อยู่ประจำ ณ สถานที่นั้น บางวันก็มีภิกษุจากที่อื่นมาสมทบด้วยเป็นจำนวนมาก           ๔. ตอนเที่ยงคืน ทรงแก้ปัญหาหรือตอบปัญหาเทวดา หมายถึง เทพพวกต่างๆ หรือกษัตริย์ซึ่งเป็นสมมติเทพ ผู้สงสัยในปัญหาและปัญหาธรรม           ๕. ตอนเช้ามืด จนสว่างทรงพิจารณาสัตว์โลกที่มีอุปนิสัยที่พระองค์จะเสด็จไปโปรดได้ แล้วเสด็จไปโปรดโดยการไปบิณฑบาตดังกล่าวแล้วในข้อ ๑ โดยนัยดังกล่าวมานี้ พระพุทธองค์ทรงมีเวลาว่าอยู่เพียงเล็กน้อยตอนเช้าหลังเสวยอาหารเช้าแล้วแต่ก็เป็นเวลาที่ต้องทรงต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือนอยู่เนืองๆ เสวยน้อย บรรทมน้อย แต่ทรงบำเพ็ญพุทธกิจมาก ตลอดเวลา ๔๕ พรรษานั้นเอง ประชาชนชาวโลกระลึกถึงพระคุณของพระองค์ดังกล่าวมาโดยย่อนี้ จึงถือเอาวันประสูติตรัสรู้และปรินิพพานของพระองค์เป็นวันสำคัญ จัดพิธีวิสาขบูชาขึ้นในทุกประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา ธรรมเนียมการปฏิบัติในวันวิสาขบูชา เมื่อวันวิสาขบูชาเวียนมาถึงในรอบปี พุทธศาสนาชนไม่ว่าจะเป็นบรรพชิต (พระสงฆ์ สามเณร) หรือฆราวาส (ผู้ครองเรือน) ทั่วไป จะร่วมกันประกอบพิธีเป็นการพิเศษ ทำการสักการบูชาเพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณา พระปัญญาคุณ และพระวิสุทธิคุณของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นดวงประทีปโลก เมื่อวันวิสาขบูชาซึ่งตรงในวันเดียวกันได้เวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่งในรอบปี คือเวียนมาบรรจบในวันเพ็ญวิสาขบูชา กลางเดือน ๖ ประมาณเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายนของไทยเรา ชาวพุทธทั่วโลกจึงประกอบพิธีสักการบูชา การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชา แบ่งออกเป็น ๓ พิธี คือ           ๑. พิธีหลวง (พระราชพิธี)           ๒. พิธีราษฎร์ (พิธีของประชาชนทั่วไป)           ๓. พิธีของพระสงฆ์ (คือพิธีที่พระสงฆ์ประกอบศาสนกิจเนื่องในวันสำคัญวันนี้)           การประกอบพิธีและบทสวดมนต์ในวันวิสาขบูชา ก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับการประกอบพิธีในวันมาฆบูชา ข้อมูลจาก: เว็บไซต์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
การดู 49 ครั้ง • 3 มิถุนายน 2566
เเจ้งการปรับเปลี่ยนการเปิดให้บริการพิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา โดยงดให้บริการพิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนาในวันจันทร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
เเจ้งการปรับเปลี่ยนการเปิดให้บริการพิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา โดยงดให้บริการพิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนาในวันจันทร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
• ประกาศสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและล้านนาสร้างสรรค์ เรื่อง งดให้บริการพิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนาในวันจันทร์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา มช. ขอเเจ้งการปรับเปลี่ยนการเปิดให้บริการเป็น วันอังคาร - วันอาทิตย์ เวลาทำการ 08.30 - 16.30 น. (หยุดทุกวันจันทร์ เเละวันหยุดนักขัตฤกษ์) เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2566 เป็นต้นไป ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ทีนี้ Dear all our Guests and Visitors, CMU Lanna House Museum would like to inform that from May 2023 Onwards Museum will be opened on Tuesday - Sunday 8.30 a.m. - 4.30 p.m. (Closed on Mondays and Public Holidays) Apologies for your inconvenience For more information please contact Facebook Page @CMULHM
การดู 763 ครั้ง • 25 เมษายน 2566
 

ข่าวกิจกรรม

ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรเนื่องในวันวิสาขบูชา 2566
ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรเนื่องในวันวิสาขบูชา 2566
• นางสาววนิดา เชื้อคำฟู หัวหน้างานบริหารทั่วไป รักษาการแทนเลขานุการสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและล้านนาสร้างสรรค์ พร้อมด้วยบุคลากรสำนักฯ เป็นผู้แทนผู้อำนวยการเข้าร่วมพิธีทำบุญตักบาตรเนื่องในวันวิสาขบูชา ประจำปี 2566 ที่จัดขึ้นโดยคณะกรรมการดำเนินงานด้านส่งเสริมศาสนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. พงษ์ศักดิ์ อังกสิทธิ์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยศาสตราจารย์คลินิก นพ.นิเวศน์ นันทจิต อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษาและพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีดังกล่าว ในวันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน 2566  ณ ข่วงวัฒนธรรม และถนนสายวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
การดู 114 ครั้ง • 3 มิถุนายน 2566
ร่วมขบวนรถบุษบกอันเชิญน้ำสรงและผ้าไตรพระราชทาน ในงานไหว้สาป๋ารมีพระบรมธาตุดอยสุเทพ ถวายน้ำสรงพระราชทาน สืบสานประเพณีเตียวขึ้นดอย วันวิสาขบูชา ประจำปี 2566
ร่วมขบวนรถบุษบกอันเชิญน้ำสรงและผ้าไตรพระราชทาน ในงานไหว้สาป๋ารมีพระบรมธาตุดอยสุเทพ ถวายน้ำสรงพระราชทาน สืบสานประเพณีเตียวขึ้นดอย วันวิสาขบูชา ประจำปี 2566
• ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เอกชัย มหาเอก รองอธิการบดี รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและล้านนาสร้างสรรค์ เป็นผู้แทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เข้าร่วมขบวนรถบุษบกอันเชิญน้ำสรงและผ้าไตรพระราชทาน ในงานไหว้สาป๋ารมีพระบรมธาตุดอยสุเทพ ถวายน้ำสรงพระราชทาน สืบสานประเพณีเตียวขึ้นดอย วันวิสาขบูชา ประจำปี 2566 ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญของจังหวัดเชียงใหม่  ในวันที่ 2 มิถุนายน 2566 ณ บริเวณลานอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย เชิงดอยสุเทพ
การดู 153 ครั้ง • 2 มิถุนายน 2566
ร่วมงานยกระดับประเพณีขึ้นดอย และขับเคลื่อนครูบาเจ้าศรีวิชัยเป็นบุคคลสำคัญของโลก
ร่วมงานยกระดับประเพณีขึ้นดอย และขับเคลื่อนครูบาเจ้าศรีวิชัยเป็นบุคคลสำคัญของโลก
• ดร. อภิรดี เตชะศิริวรรณ พร้อมด้วยนางสาวฐาปนีย์ เครือระยา และนางสาวชุติมา พรหมาวัฒน์ สังกัดฝ่ายส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและสร้างสรรค์ เข้าร่วมงานยกระดับประเพณีขึ้นดอย และขับเคลื่อนครูบาเจ้าศรีวิชัยเป็นบุคคลสำคัญของโลก โดยได้รับเกียรติจาก นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน โดยภายในงานมีการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม “วัฒนธรรมวินิตสู่ศรัทธา วิสาขบูชา ครูบาเจ้าศรีวิชัย” การแสดงนิทรรศการ “เตียวขึ้นดอย ตวยฮอยศรัทธา ป๋าระมีบูชา ครูบาเจ้าศรีวิชัย” และกิจกรรมขับเคลื่อนเชียงใหม่เมืองสร้างสรรค์ “หัตถกรรมล้านนา คุณค่าสู่สากล” ในวันที่ 2 มิถุนายน 2566 ณ มูลนิธิสถาบันครูบาเจ้าศรีวิชัย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
การดู 106 ครั้ง • 2 มิถุนายน 2566
รับมอบเครื่องดนตรีไทย ซอด้วงงาช้าง และอุปกรณ์ดนตรีไทยงาช้าง
รับมอบเครื่องดนตรีไทย ซอด้วงงาช้าง และอุปกรณ์ดนตรีไทยงาช้าง
• ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เอกชัย มหาเอก รองอธิการบดี รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและล้านนาสร้างสรรค์ เป็นผู้แทนของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการรับมอบเครื่องดนตรีไทย ซอด้วงงาช้าง และอุปกรณ์ดนตรีไทยงาช้าง จากทายาทเจ้าราชบุตร ณ เชียงใหม่ โดยมีนางจันทร์ทรงกลด คชเสนี และคณะ เข้ามอบเครื่องดนตรีและอุปกรณ์ดังกล่าว ให้แก่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2566 เพื่อการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทางการศึกษา ณ พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและล้านนาสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ต่อไป
การดู 186 ครั้ง • 30 พฤษภาคม 2566
 

ทัศนศึกษา/ศึกษาดูงาน

ให้การต้อนรับรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยบุคลากรจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้เข้าร่วมโครงการสร้างเด็กและเยาวชนตันแบบ รู้ รัก สามัคคี และสำนึกความเป็นไทย : เด็กอวด (ทำ) ดี รุ่นที่ 2
ให้การต้อนรับรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยบุคลากรจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้เข้าร่วมโครงการสร้างเด็กและเยาวชนตันแบบ รู้ รัก สามัคคี และสำนึกความเป็นไทย : เด็กอวด (ทำ) ดี รุ่นที่ 2
• นางสาววนิดา เชื้อคำฟู ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและล้านนาสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้การต้อนรับ คุณอรนุช ศรีนนท์ รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยบุคลากรจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้เข้าร่วมโครงการสร้างเด็กและเยาวชนตันแบบ รู้ รัก สามัคคี และสำนึกความเป็นไทย : เด็กอวด (ทำ) ดี รุ่นที่ 2 ในที่เข้าทัศนศึกษาและเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2566 เพื่อศึกษาเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรมท้องถิ่น และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนล้านนา ซึ่งจัดแสดงในกลุ่มเรือนโบราณล้านนา จำนวน 10 หลัง และหลองข้าว (ยุ้งข้าว) จำนวน 4 หลัง ผ่านนิทรรศการต่างๆ ภายในตัวเรือนโบราณแต่ละหลัง  
การดู 104 ครั้ง • 30 พฤษภาคม 2566
นักศึกษามหาวิทยาลัยพะเยา เข้านำเสนอข้อมูลสถาปัตยกรรมการเก็บข้อมูล เเละสำรวจรังวัดอาคารเรือนทรงอาณานิคมคิวรีเปอล์
นักศึกษามหาวิทยาลัยพะเยา เข้านำเสนอข้อมูลสถาปัตยกรรมการเก็บข้อมูล เเละสำรวจรังวัดอาคารเรือนทรงอาณานิคมคิวรีเปอล์
• นักศึกษา ชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์เเละศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา นำเสนองานในวิชาการอนุรักษ์สถาปัตยกรรม (Architectural Conservation) โดยดำเนินการเก็บข้อมูล เเละสำรวจรังวัดอาคาร "เรือนทรงอาณานิคมคิวรีเปอล์" แล้วนำเสนอข้อมูลสถาปัตยกรรม พร้อมผลงาน เเก่บุคลากรสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและล้านนาสร้างสรรค์ เพื่อขอคำแนะนำและมีส่วนร่วมในการให้คะแนน ในหัวข้อ "ด้านการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น" ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 ณ พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและลล้านนาสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
การดู 248 ครั้ง • 15 พฤษภาคม 2566